น้ำมัน และ ฟันด์โฟลว์

การร่วงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มีผลสะเทือนที่กว้างและลึกมาก แต่ไม่ใช่เป็นข่าวร้ายเสมอไป


พลวัต 2017:วิษณุ โชลิตกุล

 

การร่วงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มีผลสะเทือนที่กว้างและลึกมาก แต่ไม่ใช่เป็นข่าวร้ายเสมอไป

ผลกระทบโดยตรงทางลบ คือ ทำให้ราคาหุ้นพลังงานทุกชนิดร่วงไปด้วยในสินค้าทดแทนกัน แต่มีผลทำให้หุ้นขนส่งเช่นสายการบิน และหุ้นปิโตรเคมี มีกำไรเพิ่มเป็นผลพลอยได้

ส่วนหุ้นที่ได้รับผลเสียทางอ้อมคือ หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะราคาน้ำมันที่ลดลง ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ แกว่งตัวในทิศทางเดียวกัน ชนิดไปไหนไปด้วย

โดยทั่วไปแล้ว กลุ่มบริษัททำธุรกิจน้ำมัน เป็นธุรกิจขนาดใหญ่มาก หุ้นจึงมีมาร์เก็ตแคปใหญ่มากในดัชนีตลาดหุ้นทุกแห่ง ดังนั้น การร่วงลงของราคาหุ้นพลังงาน จึงถ่วงน้ำหนักต่อตลาดหุ้นค่อนข้างมากเช่นที่ทำให้ดัชนีของตลาดหุ้นแต่นิวยอร์ก และทั่วโลกย่ำแย่ไปด้วย

ความกังวลต่อภาวะอุปทานส่วนของเกินของน้ำมันดิบโลกจากทั้งในสหรัฐฯ ที่จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบยังขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง ผสานกับบางประเทศในกลุ่มโอเปกที่เร่งกำลังผลิตขึ้น แม้ตัวเลขความร่วมมือลดกำลังการผลิตจะเกิน 100% ยังคงกดดันต่อราคาน้ำมันดิบโลกปรับฐานต่อ ถึงขั้นที่กลุ่มโอเปกต้องออกมาให้ข่าวว่า อาจจะต้องเรียกสมาชิกหารือกันเพื่อทบทวนข้อมูลกันเสียใหม่เร็วๆนี้ เพื่อสกัดกั้นการร่วงลงต่อเนื่องของราคา

ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานในตลาดหุ้นนิวยอร์ก เป็นกลุ่มที่ปรับตัวลงมากสุดในดัชนี S&P500 ยามนี้ ดิ่งลงเข้าสู่ระดับใกล้เคียงจุดต่ำสุดเดิมในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ที่ระดับ 43.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์เคยระบุว่า ต้นทุนการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน หรือ เชลล์ ออยล์ ในสหรัฐฯ มีต้นทุนที่ต่ำลง ทำให้แรงจูงใจผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ไม่ต้องกล่าวจะถูกโอเปกหรือชาติอื่นโจมตีเหมือนในสองปีที่ผ่านมา ดังนั้นทางออกเดียวในการลดแรงจูงใจให้การขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดผลผลิตลง จึงอยู่ที่ต้องทำให้ราคาน้ำมันลงมาอยู่ในกรอบ 38-42  ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือต่ำกว่า

บทวิเคราะห์ดังกล่าวเตือนว่า ถ้าไม่ทำการลดราคาลง ภาวะน้ำมันล้นตลาดที่ชาติส่งออกน้ำมันพยายามต่อสู้มากว่าครึ่งปี ด้วยการควบคุมผลผลิต(แต่ไม่ยอมลดกำลังการผลิตลงเพิ่มเติม) และที่ยืดเวลาออกไปจนถึงมีนาคม 2561 จะไม่เกิดผล ทำให้ตลาดกลับมาไร้เสถียรภาพอีกครั้ง

ความแม่นยำของการคาดเดาตลาดโดยนักวิเคราะห์ของ โกลด์แมน แซคส์ เป็นที่เลื่องลือมายาวนาน จึงมีน้ำหนักสามารถสร้างแรงกดดันต่อเนื่องจนถึงล่าสุด

ในกลางปี 2558 นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ เช่นกัน เคยบอกในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบเริ่มอยู่แถวระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลว่า ราคาน้ำมันต้องร่วงลงไปต่ำกว่า 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งปรากฏว่า อีก 7 เดือนต่อมาในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ราคาน้ำมันก็ลงไปแตะที่ราคาดังกล่าว

ต่อมาในเดือนมีนาคม 2559 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันดิบรีบาวด์จากจุดต่ำสุด นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์อีกเช่นกัน ก็ออกมาสวนทาง ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ WTI ในครึ่งแรกของปี 2559 ให้มีค่าเฉลี่ยที่ระดับ 45 ดอลลาร์ในช่วงไตรมาส 2 และอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์ในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ปรับลดคาดการณ์ราคาในปี 2560 ลง

ครั้งนั้น โกลด์แมน แซคส์ เตือนว่า หากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเกินกว่า 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอีกครั้ง ก็จะเป็นแรงจูงใจให้โลกกลับมาเผชิญกับภาวะน้ำมันล้นตลาดอีกครั้ง ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2017

ครั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์ ก็เตือนล่วงหน้า พร้อมกับนักวิเคราะห์ของวาณิชธนกิจใหญ่อีกรายอย่าง JP Morgan ว่าปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิตในสหรัฐฯ จะเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในต้น 2561 เป็นจังหวะไล่เลี่ยกันกับที่ข้อตกลงควบคุมผลผลิตน้ำมันดิบของชาติส่งออกน้ำมันสิ้นสุดลงพอดี อุปทานน้ำมันจะกลับมาท่วมโลกอีกครั้ง แล้วช่วยกันปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ WTI  มาอยู่ที่ 42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบโลกที่ร่วงลง ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะผลพวงที่มีต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาคถัดจากนี้ไป น่าจะทำให้ต้นทุนพลังงานลดลงในกระบวนการผลิต ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกไม่เร่งตัวเป็นขาขึ้นเร็ว ที่สำคัญ จะเป็นแรงกดดันไม่ให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ตามเป้าหมาย

ผลข้างเคียงจากโอกาสที่เฟดรีรอไม่กล้าขึ้นดอกเบี้ยตามที่ต้องการ เป็นปัจจัยที่เอื้อหนุนต่อกระแสฟันด์โฟลว์ระดับโลก ไม่ให้ไหลกลับเข้าไปถือเงินดอลลาร์ที่จะอ่อนค่าต่อไป แต่จะไหลย้อนมาวนเวียนเก็งกำไรในตลาดเอเชียต่อไปในครึ่งหลังของปีนี้ ทำให้ค่าเงินสกุลท้องถิ่นแข็งค่า เหมาะสำหรับการหากำไรจากการเก็งตลาด ทั้งในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น อย่างสะดวกโยธิน

การที่เงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นเงินสกุลกลางที่ใช้ซื้อขายน้ำมันอ่อนมีทิศทางอ่อนค่าลงค่าลง อาจจะไม่ได้ช่วยให้ราคาน้ำมันกลับมาดูดีขึ้น แต่การที่ฟันด์โฟลว์ที่หันรีหันขวางมาหลายเดือน เข้าเฉพาะตลาดตราสารหนี้แต่ไม่ยอมเข้าตลาดหุ้นไทย จะไหลบ่ากลับเข้ามาอีกครั้ง จึงเป็นข่าวที่น่ายินดียิ่ง ส่วนจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย ที่ยามนี้ ถือว่ามีค่าพี/อีสูงมากในอาเซียน แต่เป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนย่ำแย่ที่สุดแห่งหนึ่งของปีนี้ ได้มีเวลาทะยานขึ้นระลอกใหม่ หักกลบขาลงของหุ้นพลังงาน

ส่วนดัชนี SET จะไปได้ไกลแค่ไหน คงต้องลุ้นกันต่อไป

 

Back to top button