PLANB ที่ 2 ไทย แต่ที่ 1 อาเซียน
เมื่อวานนี้ ราคาหุ้นในตลาดของ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB แทงทะลุกลับมายืนเหนือ 6.00 บาทอีกครั้ง เพียงแต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ราคาสูงสุด
แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
เมื่อวานนี้ ราคาหุ้นในตลาดของ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB แทงทะลุกลับมายืนเหนือ 6.00 บาทอีกครั้ง เพียงแต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ราคาสูงสุด
การวิ่งขึ้นของราคาหุ้น ถือว่าป็นการขานรับข่าวดีหลายข่าว หลังจากที่นายปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทออกมาให้ข่าวเอง และยังมีฝ่ายประชาสัมพันธ์สำทับเพิ่ม โดยไม่ต้องมี “ขาเชียร์แขก” จากนักวิเคราะห์เหมือนก่อนหน้า
จุดเด่นของราคาหุ้นของ PLANB ที่นักลงทุนจดจำได้ดีคือ มักจะวิ่งบวกเสมอเมื่อมีข่าวเกิดขึ้น แม้ว่าบางครั้งจะเป็นข่าวเชิงลบเช่นตอนที่กำไรสุทธิลดลงบางไตรมาส…ส่วนหนึ่งและส่วนใหญ่มาจากการที่นักวิเคราะห์พากันส่งเสียงเชียร์เป็นสำคัญ
นายปรินทร์ ออกมาบอกว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้ บริษัท มาสเตอร์ สแตนดาร์ด ดิสเพลย์ จำกัด บริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% ร่วมลงทุนกับ บริษัท ปัญญาทิพย์ แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด (ปัญญาทิพย์) ประเทศ สปป.ลาว จัดตั้งบริษัท ปัญญาทิพย์ แพลนบี มีเดีย จำกัด (ปัญญาทิพย์แพลนบี) โดยแพลนบีลงทุนในสัดส่วน 50% คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
การร่วมทุนดังกล่าว PLANB จะนำรูปแบบธุรกิจสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย (สื่อโฆษณา) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงพร้อมฐานลูกค้าจากไทย และ นวัตกรรมของสื่อโฆษณา ถ่ายทอดไปยัง สปป.ลาว …แลกเงื่อนไขสำคัญ คือ ปัญญาทิพย์จะโอนทรัพย์สินและสัมปทานสื่อโฆษณาฯ ภายใต้สิทธิ์ทั้งหมด ได้แก่ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่จำนวน 63 แห่ง ไปยังบริษัทร่วมทุน
พลังผนึกของนวัตกรรมของ PLANB บวกกับ ความช่ำชอง ปัญญาทิพย์ซึ่งเข้าถึงสภาวะตลาด ความสามารถในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย และข้อกฎหมายในสปป.ลาวอย่างดี เป็นจุดเด่นของพันธมิตรใหม่นี้ ให้ขยายต่อยอดในรูปแบบต่างๆ ในสื่อหลากหลายทั้งสื่อในระบบขนส่งมวลชน สื่อโฆษณาภาพนิ่ง สื่อโฆษณาดิจิตอลนอกที่อยู่อาศัย สื่อโฆษณาในสนามบิน เป็นไปด้วยความรวดเร็วภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำ…
การรุกตลาด สปป.ลาวนี้ ถือเป็นตลาดต่างประเทศลำดับที่ 3 ต่อเนื่องจากการขยายตลาดใน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย (เข้าลงทุน 10.02% ในบริษัท PT Estha Yudha Ekatama (EYE)) ตั้งแต่ปี 2558 ตามแผนธุรกิจสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย โดยร่วมดำเนินการกับพันธมิตรธุรกิจในท้องถิ่นแต่ละประเทศทั่วอาเซียน
เป้าหมายสำคัญของ PLANB คือ ชิงส่วนแบ่งตลาดสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยในอาเซียนมูลค่ากว่า 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีให้ได้มากสุด โดยเป้าหมายภายในปี 2563 จะมีรายได้จากตลาดต่างประเทศในระดับ 1,000 ล้านบาท รวมทั้งใน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
รายได้ต่างประเทศตามเป้าหมายดังกล่าว จากปัจจุบันที่ยังไม่มีสัดส่วนรายได้ดังกล่าว ถ้าเทียบกับเป้าหมายรวมทั้งหมดของ PLANB ในปี 2563 ที่จะมีวางเป้าหมายจะมีรายได้เติบโตแตะระดับ 5 พันล้านบาท ถือว่าเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง..ฝันให้ไกล ไปให้ถึง
โมเดลธุรกิจของ PLANB คือเป็นผู้ให้บริการสื่อนอกบ้าน (Out-of-Home หรือ OOH) ทั้งสื่อที่เป็นภาพนิ่ง และสื่อดิจิตอลกลางแจ้ง อย่างเช่น ป้ายข้างทางด่วน ริมถนนสายหลัก ระบบขนส่งมวลชน (รถประจำทาง, รถใต้ดิน, สนามบิน) และในห้างสรรพสินค้า ในพื้นที่กลยุทธ์ของ 44 จังหวัดทั่วประเทศ โดยในตลาดรวม ถือเป็นอันดับสองรองจาก VGI global Media Plc ที่ได้เปรียบกว่าเพราะเกาะพ่วงไปกับค่ายBTS โดยมีส่วนแบ่งตลาดในแง่รายได้ 21% แต่ถือว่าเป็นผู้นำเดี่ยวในธุรกิจสื่อดิจิตอล อันเป็นธุรกิจหลักที่มาแรงมากในช่วงขาขึ้น
ปัจจุบัน PLANB มีจอภาพดิจิตอลทั่วประเทศไทย มากกว่า 300 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ ราว 230 แห่ง และอีก 70 แห่งในพื้นที่ต่างจังหวัด และปีนี้ยังตั้งเป้าจะเพิ่มในต่างจังหวัดอีก 10 แห่งจากงบลงทุน 400-500 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายงาน
จุดเด่นของ PLANB คือ โตไม่เคยหยุด ต่างจากคู่แข่งที่มีอาการแคระแกร็นแบบบอนไซในหลายจุด
ปีนี้ PLANB ทำได้ดีกว่าปีก่อน (ที่มีกำไรลดลงน่าผิดหวังแม้รายไดเพิ่ม เพราะเงินลงทุนโตลงทุนมากกว่ารายได้) โดยที่ไตรมาส 1 มีกำไรสุทธิ 100.94 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตสูงถึง 20% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ละคาดว่าไตรมาส 2 นี้ ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ตามการขยายกำลังการผลิตสื่อ และอัตราการใช้พื้นที่สื่อโฆษณา (Utilization rate) ที่คาดว่าเฉลี่ยทั้งปี จะอยู่ที่ระดับ 80-85% เพิ่มขึ้นจากระดับ 57.6% ในปีที่แล้ว แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังคงชะลอตัว โดยคาดหมายว่า สิ้นปีนี้จะมีกำไรโตตามรายได้ ที่คาดโตไม่น้อยกว่า 20%,
นอกจากนี้ ยังมีแถมพ่วงจากสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง บริหารสิทธิประโยชน์ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย (สมาคมฟุตบอลฯ) ในปีนี้บริษัทก็จะสามารถรับรู้รายได้เต็มปี จนถึงปี 2563 ตามสัญญาที่ได้ทำ
หากไม่มีอะไรพลาดพลั้ง ถึงขั้นสะดุด “ตาปลาใครบางคน” เสียก่อน…นักวิเคราะห์หลายสำนักระบุตรงกันว่า ราคาเป้าหมายสิ้นปีนี้ จะสูงกว่า 7.50 บาท …เว่อร์กันสุดๆ แต่ก็มีเหตุผล
เหตุผลที่ว่าสาธยายย่นย่อดังนี้คือ 1) มีเครือข่ายสื่อป้ายดิจิตอลทั่วประเทศกว้างขวางที่สุด ดึงดูดงบโฆษณาจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากกว่า 2) คนไทยใช้เวลาอยู่นอกบ้านนานขึ้น 3) ระบบขนส่งมวลชนขยายตัวทั่วกทม. 4) ธุรกิจค้าปลีกรุ่งเรืองไม่หยุด…คาดว่ากำไรในปี 2560-2563 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 46% …แม้ตัวเลขยอดใช้จ่ายโฆษณารวมฟื้นตัวช้ามาก ก็…ช่างหัวมัน
อิ อิ อิ