เกาไม่ถูกที่คัน
*ประเด็นเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นไม่มีอะไรต้องกังวล หรือต้องคิดอะไรให้เสียเวลาเคาะขวาแบบสุดซอย เพราะการเล่นเที่ยวนี้เป็นเวทีของคนที่มีลักษณะ กล้าก็ลุย..กลัวก็ถอย ประกอบกับแพทเทิร์นของดัชนีอยู่ในลักษณะ sideway up จึงเป็นจังหวะที่นักลงทุนสามารถโหนกระแสได้ทันที “โมนิก้า” ถึงมองรอบการเล่นในสัปดาห์นี้สามารถคาดหวังเป้าหมายที่บริเวณ 1,600 จุดได้นะจ๊ะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*ประเด็นเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นไม่มีอะไรต้องกังวล หรือต้องคิดอะไรให้เสียเวลาเคาะขวาแบบสุดซอย เพราะการเล่นเที่ยวนี้เป็นเวทีของคนที่มีลักษณะ กล้าก็ลุย..กลัวก็ถอย ประกอบกับแพทเทิร์นของดัชนีอยู่ในลักษณะ sideway up จึงเป็นจังหวะที่นักลงทุนสามารถโหนกระแสได้ทันที “โมนิก้า” ถึงมองรอบการเล่นในสัปดาห์นี้สามารถคาดหวังเป้าหมายที่บริเวณ 1,600 จุดได้นะจ๊ะ
*ในเมื่อแพทเทิร์นการเล่นมาในทรงเดิม ความเสี่ยงในการซื้อหุ้นค่อนข้างจำกัด ก็ขึ้นอยู่กับแรงซื้อจากนักลงทุนกลุ่มต่างๆ จะไหลเข้ามามากขนาดไหน? บวกกับเมื่อวันศุกร์ดัชนียืนปิดที่ 1,582.36จุด บวกไป 1.45 จุด ด้วยมูลค่า 3.90 หมื่นล้านบาท ย่อมเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า การดันราคาหุ้นเพื่อปิดบัญชีมีอยู่จริง และนักเล่นที่ดีต้องหัดทำตัวลู่ไปตามลม เพื่อความคล่องตัวของพอร์ตหุ้นเจ้าค่ะ
*ส่วนที่ไม่ค่อยคล่องตัวเอาเสียเลย และทำให้ผู้คนในตลาดหุ้นก่นด่ามากขึ้นไปอีก น่าจะเป็นท่าทางปากเปราะของ รมว.คลัง ซึ่งแสดงความคิดเห็นต่อการปล้นเงินจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อไปจัดตั้งกองทุน CMDF แบบพวกวัวลืม..ค่อนข้างชัดเจน เลยมีคนขุดประวัติเก่าๆ สมัยทำงานแบงก์ออกมาล้อเลียนกันอย่างสนุกสนานว่า สมัยอยู่แบงก์ไม่เคยเห็นทำปากดีใส่ตลาดหุ้นแบบนี้บ้างเลย?
*โดยเฉพาะในมุมที่ไปว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ นำเงินไปใช้ในบางเรื่องที่ไม่เข้าท่า? เคยนึกย้อนถามตัวเองบ้างไหมว่า เข้าใจกลไกตลาดหุ้นแค่ไหน? รวมทั้งรู้ไหมว่า เงินที่เขาสะสมกันมาถึงระดับ 8,000 ล้านบาท ล้วนมาจากบรรดาโบรกเกอร์ และบริษัทจดทะเบียน ไม่มีเงินจากหน่วยงานภาครัฐเข้ามาสมทบแม้แต่สตางค์เดียว บรรดาบริษัทจดทะเบียนเลยฝากให้เดี๊ยนช่วยบอก “เฮียอภิศักดิ์” น่าจะหัด ตักน้ำใส่กะโหลก..ชะโงกดูหนังหน้าตัวเองเสียบ้าง หลังผู้คนในตลาดหุ้นร้องยี้กับพฤติกรรมของคนคนนี้มากขึ้นนะซี
*นอกจากนี้ยังมีคนเหน็บแนมว่า ถนัดแต่เรื่องไถเงินชาวบ้าน พอเห็นบางคนไม่เถียง เลยเกิดอาการย่ามใจ บวกกับขุนคลังตัวพ่อออกตัวแรงแบบมึนตึ้บว่า ต้องการให้ ก.ล.ต. เป็นหัวหมู่ในการทำหน้าที่ส่งเสริมตลาดทุน ทั้งที่ในความจริงก็รู้กันดีว่า ตลท.ทำได้ดีกว่าทุกมิติ บวกกับโพสิชั่นของรายแรกออกไปในแนวตรวจสอบ ส่วนรายหลังมีลักษณะออกไปในแนวโปรโมต เพียงเท่านี้ก็เห็นแล้วว่า ใครควรทำหน้าที่อะไร ของมันไม่ใช่ ก็คือไม่ใช่นะจะบอกให้
*เหมือนกับแรงเทขายที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง จนราคาหุ้น BANPU ไหลลงมาเรื่อยๆ จากเมื่อ 2 เดือนก่อนเคยยืนอยู่ที่ระดับ 21.50 บาท ล่าสุดลงมาปิดที่ 17.40 บาท ลบไป 0.10 บาท ด้วยมูลค่า 1 พันล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นการลงมายังจุดเด้งกลับแบบพอเหมาะพอเจาะแบบนี้ เท่ากับเป็นแรงกดดันให้หุ้นต้องเด้งขึ้นในวันนี้ หากทำไม่ได้เหมือนที่เกริ่นนำไว้ สงสัยต้องลงไปปิดแก๊ปแถว 16 บาทนะจ๊ะ
*เช่นเดียวกับในรายของ UV หลังจากเทกตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนโดนเทขายอย่างหนักหน่วง “โมนิก้า” ถือเป็นเกมหุ้นที่ขาประจำรู้กันเป็นอย่างดี จึงต้องทำตัวพลิ้วไหวไปตามกระแส อย่าได้ฝืนธรรมชาติของหุ้นเป็นอันขาด เพราะมันไม่ก่อประโยชน์อันใดกับพอร์ต แถมครั้งนี้ทรุดตัวหนักลงมาปิดที่ 8.80 บาท ลบไป 0.55 บาท หรือลงไป 5.90% ด้วยมูลค่า 212 ล้านบาท มันเป็นจังหวะต้องถอยออกมาอยู่ขอบเวทีนะจะบอกให้
*คล้ายคลึงกับกรณีของ ASIAN กระชากขึ้นมาปิดที่ 15.50 บาท บวกไป 2.60 บาท หรือขึ้นไป 20% ด้วยมูลค่า 1 พันล้านบาท มันเป็นสถานการณ์ที่เริ่มโอเว่อร์รีแอ็กต์ไปมากพอสมควร จึงเป็นจังหวะสุ่มเสี่ยงสำหรับนักเล่นที่เข้าไปไล่ซื้อหุ้นราคาสูง “โมนิก้า” เลยขอแนะนำให้หาจังหวะขายทำกำไรออกไปก่อน เพราะดูท่าทางแล้วไม่น่าจะไปได้ไกลสักเท่าไหร่ ทราบแล้วบอกต่อด้วยค่ะ
*สำหรับในรายของ STEC วิ่งขึ้นมาปิดใกล้กับยอดเดิม ท่ามกลางค่า P/E 30 เท่า “โมนิก้า” ขอเรียนตามตรงว่า มันทำให้การเล่นต่อจากนี้ค่อนข้างเสี่ยงพอสมควร เพราะมันหมายความว่า กำไรในไตรมาส 2 ต้องออกมาดี ทุกอย่างถึงจะออกมาแบบ win-win หากไม่เป็นเหมือนกับที่เกริ่นนำไว้ คงได้เห็นหุ้นทรุดตัวลงมาแถว 24 บาทอีกรอบ ประเด็นเหล่านี้ทำให้ราคาปิดที่ 28.25 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 3.70% ด้วยมูลค่า 640 ล้านบาท มีความเสี่ยงในทันทีจ้า!
*ประเด็นนี้สอดคล้องกับการทะยานขึ้นของ DTAC ก่อนจะปิดที่ระดับ 53.75 บาท บวกไป 2 บาท หรือขึ้นไป 3.90% ด้วยมูลค่า 1.19 พันล้านบาท ก็เป็นช็อตที่เอาเรื่องอนาคตมาเล่นล้วนๆ แถมราคาเป้าที่ให้กันเว่อร์ๆ ก็เป็นราคาของปี 61 ขณะที่ตอนนี้เราเพิ่งอยู่กันในช่วงกลางปี 60 “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องหัดเรียนรู้ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกันบ้างนะคะ