PTT ทุ่มล้านล้านบาทพร้อมเติบโตแข็งแกร่ง

ปี 2558 ทิศทางธุรกิจของ PTT จะมีโอกาสกลับฟื้นตัวขึ้นได้อีกครั้ง ซึ่งในปีนี้ธุรกิจสายดาวสตรีมจะมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก เพราะได้รับผลบวกจากต้นทุนราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ


เมื่อช่วงปี 2557 ที่ผ่านมากลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจพลังงานล้วนต้องเผชิญกับวิกฤตสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่มีเพียงแค่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เท่านั้น ที่ยังรักษากำไรสุทธิได้อยู่ในระดับสูง และพร้อมกับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งในปี 2558

 

“ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT กล่าวด้วยความมั่นใจว่า ผลการดำเนินงานในปี 2558 ของ PTT จะกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้อีกครั้ง โดยมีปัจจัยผลักดันหลักจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เริ่มกลับมาทยอยเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ทางบริษัทยังมีปัจจัยบวกสำคัญอีกหลายประเด็นที่เข้ามาช่วยสนับสนุน อาทิ ไม่ต้องบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์จำนวนมหาศาลเหมือนเช่นปี 2557 ผลขาดทุนในกลุ่มธุรกิจเอ็นจีวีมีแนวโน้มลดต่ำต่อเนื่อง รวมถึงการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจบริษัทลูกในเครือต่างๆ

โดยในเบื้องต้น ประเมินว่า ธุรกิจโรงกลั่นจะมีโอกาสบันทึกสต๊อกเกนอีกรอบ ซึ่งเป็นผลบวกจากราคาน้ำมันที่เห็นสัญญาณฟื้นตัว เช่นเดียวกับธุรกิจขุดเจาะสำรวจของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP บริษัทลูกในเครือที่ PTT เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยสัดส่วน 65% จะเผชิญกับความผันผวนในอุตสาหกรรมน้อยลง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสสร้างความโดดเด่นมากที่สุดในปี 2558 คือ กลุ่มธุรกิจปลายน้ำ (ดาวสตรีม) เพราะจะได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากในช่วงที่ราคาน้ำมันไม่สูง ซึ่งทำให้มีต้นทุนการดำเนินงานอยู่ในระดับต่ำ ส่วนสายการผลิตต้นน้ำ (อัพสตรีม) จะเผชิญกับความผันผวนในอุตสาหกรรมน้อยลง

 

ptt20150426

 

“ปี 2558 ทิศทางธุรกิจของ PTT จะมีโอกาสกลับฟื้นตัวขึ้นได้อีกครั้ง ซึ่งในปีนี้ธุรกิจสายดาวสตรีมจะมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก เพราะได้รับผลบวกจากต้นทุนราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ และภาพรวมของกลุ่มธุรกิจบริษัทในเครือจะมีแนวโน้วกลับมาเติบโตขึ้น”

 

อีกทั้ง หลังจากทางภาครัฐได้มีแนวทางปรับโครงสร้างราคาพลังงานเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เช่น การปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีและก๊าซเอ็นจีวี โดยเฉพาะเอ็นจีวีที่ส่งผลดีให้บริษัทมีโอกาสรับรู้ผลขาดทุนลดต่ำ โดยในช่วงปี 2557 ที่ผ่านมา PTT มีขาดทุนเอ็นจีวีอยู่ที่ประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท แต่ในปี 2558 การขาดทุนจะลดลงเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ ในปัจจุบันทาง PTT มีต้นทุนของเอ็นจีวีอยู่ที่ประมาณ 15.50 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งในช่วงพีคทางบริษัทเคยต้องแบกรับภาระต้นทุนสูงถึง 5 บาทต่อกิโลกรัม แต่หลังจากได้มีการปรับโครงสร้างราคาได้ส่งผลให้ทางบริษัท แบกรับต้นทุนเหลือเพียงแค่ 2-3 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น

นอกจากนี้ ภายใต้สถานการณ์ราคาน้ำมันในปัจจุบัน ทางบริษัทได้มองถึงโอกาสขยายการลงทุน เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจในอนาคต ซึ่งภายใต้แผนลงทุนระยะ 5 ปี ได้กำหนดเงินลงทุนรวมไว้ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท โดยการลงทุนหลักจะอยู่ที่ธุรกิจของ PTTEP เป็นจำนวนเกินครึ่งหนึ่ง เพื่อสนับสนุนการลงทุนค้นหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ

ส่วนการลงทุนอีกจำนวน 30% จะเป็นของ PTT เอง และที่เหลือเป็นการลงทุนเกี่ยวกับบริษัทในเครือต่างๆ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทจะลงทุนด้วยความระมัดระวัง ซึ่งภายในเดือนมี.ค.นี้ อาจจะมีการพิจารณาปรับแผนการลงทุนของกลุ่มอีกครั้ง โดยเฉพาะในส่วนของ PTTEP ที่จะเน้นปรับการลงทุนให้เหมาะสมต่อสถานการณ์มากที่สุด

“ภายใต้มิชชั่นของ PTT พวกเรามีความต้องการที่บริษัทไทยข้ามชาติที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระดับโลก และยังคงเดินหน้าตามแนวทาง BIG LONG STRONG ซึ่งในแผนธุรกิจระยะ 5 ปี ทางบริษัทได้ตั้งงบลงทุนประมาณ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งการลงทุนหลักมากกว่าครึ่งหนึ่งจะเป็นของ PTTEP ส่วนจำนวน 30% จะลงทุนผ่านทาง PTT และที่เหลือจะลงทุนในส่วนของกลุ่มบริษัทในเครือ”

 

“ดร.ไพรินทร์” กล่าวอีกว่า สำหรับความคืบหน้าแผนการนำบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทางบริษัทได้มีเป้าหมายที่ดำเนินการภายในช่วงปี 2558

โดยในส่วนของ GPSC ได้ทำการยื่นไฟลิ่งไปแล้ว ขณะที่ SPRC น่าจะได้เห็นความชัดเจนภายในไตรมาส 3/58 อีกทั้งยังมีแผนศึกษาโอกาสนำกลุ่มธุรกิจค้าปลีกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยเช่นกัน เพราะถือเป็นอีกช่องทางช่วงขยายการเติบโตในอนาคต

 

gpsc20150426

 

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทคงไม่สามารถระบุช่วงเวลาได้ว่า การกำหนดข้อสรุปแผนนำกลุ่มค้าปลีกเข้าจดทะเบียน จะได้เห็นความชัดเจนในช่วงเวลาใด เนื่องจากกระบวนทั้งหมดยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาและประเมินมูลค่า ส่วนกรณีการลดสัดส่วนถือหุ้นในบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการเช่นกัน ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาทางบอร์ดบริษัทได้มีมติอนุมัติในหลักการรับข้อเสนอจากกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ที่ขอเสนอซื้อหุ้นจำนวน 15%

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดปี 2557 นับเป็นช่วงปีที่บริษัทต้องเผชิญกับความผันผวนของสถานการณ์ราคาน้ำมันเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ทาง PTT ยังคงรักษากำไรสุทธิไว้ได้ในระดับสูงถึง 55,794 ล้านบาท พร้อมกันทำรายได้รวมตลอดปีทั้งสิ้น2.86 ล้านล้านบาท

 

อีกทั้งยังสามารถรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่อง โดยบริษัทมีนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 25% ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทได้กำหนดไว้ ซึ่งในงวดครึ่งหลังปี 2557 บริษัทประกาศจ่ายปันผลจำนวน 5 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับงวดครึ่งแรกที่จ่ายปันผล 6 บาทต่อหุ้น เท่ากับงบปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทจ่ายปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นได้สูงถึง 11 บาทต่อหุ้น

Back to top button