พาราสาวะถี

  เป็นธรรมชาติของคน ใครก็ตามที่ไม่มีอะไรซ่อนลึกไว้อยู่ในใจ ไร้วาระซ่อนเร้น เมื่อถูกถามไม่ว่าจะแทงใจดำหรือไม่ย่อมกล้าที่จะตอบแบบฉะฉาน แต่ใครก็ตามที่ซ่อนเงื่อนปมความต้องการอันแอบแฝงไว้ในใจ เมื่อถูกถามและตอกย้ำซ้ำจุดเดิมจึงออกอาการกระฟัดกระเฟียด เหมือนอย่างที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเป็นอยู่เวลานี้


อรชุน

เป็นธรรมชาติของคน ใครก็ตามที่ไม่มีอะไรซ่อนลึกไว้อยู่ในใจ ไร้วาระซ่อนเร้น เมื่อถูกถามไม่ว่าจะแทงใจดำหรือไม่ย่อมกล้าที่จะตอบแบบฉะฉาน แต่ใครก็ตามที่ซ่อนเงื่อนปมความต้องการอันแอบแฝงไว้ในใจ เมื่อถูกถามและตอกย้ำซ้ำจุดเดิมจึงออกอาการกระฟัดกระเฟียด เหมือนอย่างที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเป็นอยู่เวลานี้

แรกเริ่มเดิมทีก็ถามว่าจะสืบทอดอำนาจหรือเปล่า จะตั้งพรรคการเมืองไหม จะลงเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะได้ยินเสียงคำรามตะคอกกลับ ให้เลิกถามเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว ล่าสุด มีนักข่าวใจกล้าถามท่านผู้นำแบบตรงไปตรงมา ยืนยันได้ไหมจะไม่กลับเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกหลังเลือกตั้ง เท่านั้นแหละบิ๊กตู่ปรี๊ดแตกทันที

พร้อมด้วยคำพูดที่ว่า “ผมไม่นั่งยัน ยืนยัน นอนยันอะไรทั้งนั้นแหละ” ก่อนที่จะถอนหายใจเสียงดังอย่างหงุดหงิด นี่ย่อมสะท้อนภาพความเป็นธรรมชาติของท่านผู้นำที่ชอบพูดเสียงดังขี้โมโห แต่มันไม่เป็นธรรมชาติ อยากที่บอกหากไร้วาระในการจะหวนคืนสู่อำนาจหลังการเลือกตั้ง ย่อมตอบแบบไม่มีเยื่อใยว่า ฉันไม่กลับมาแล้ว

แต่ด้วยวิธีการและกระบวนการซึ่งได้ดำเนินการผ่านองคาพยพแม่น้ำ 5 สายมาตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหาสาระที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ มันชัดเสียยิ่งกว่าชัดว่า เป็นไปเพื่อเอื้อให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบันกลับมามีอำนาจกันอีกกระทอก ไม่ว่าจะด้วยกระบวนการผ่านการลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อความสง่างามหรือได้รับเทียบเชิญเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกก็ตาม

เมื่อปูทางกันมาขนาดนั้น ครั้นจะไปยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าไม่กลับมาแน่นอน พอถึงเวลาก็จะกลายเป็นคนเสียสัตย์เพื่อชาติ เดินซ้ำรอยรุ่นพี่นายทหารใหญ่ที่สร้างปรากฏการณ์ทำให้คนไทยต้องเสียเลือดเนื้อมาแล้ว ครั้งจะบอกว่าสืบทอดอำนาจแน่ๆ ความเชื่อมั่นที่มันแย่อยู่แล้วก็จะดำดิ่งกู่ไม่กลับอย่างแน่นอน ดังนั้น ท่านผู้นำเวลานี้จึงตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

แม้ว่าในทางยุทธวิธีกระบวนท่าในการเดินเกมทางการเมืองนั้น จะมาแบบเหนือเมฆ จับนักการเมืองมืออาชีพขึงพืดกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ แต่นั่นหาใช่ชัยชนะอันเด็ดขาดไม่ เพราะปัจจัยใหญ่อันเป็นปัญหาหนักอกที่ท่านผู้นำและองคาพยพทั้ง 5 ไม่สามารถทำให้เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ได้คือ ประเด็นปากท้องของพี่น้องประชาชน

แทนที่เศรษฐกิจจะกระเตื้อง ทำให้คนรู้สึกว่ากินอิ่มนอนหลับ แต่กลับเป็นไปในทิศทางตรงข้าม ต้องไม่ลืมว่าปัญหาใหญ่ของทุกรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ว่าจะมาด้วยวิธีการใดก็ตาม หากไม่สามารถทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีได้ อาการเบื่อ เซ็ง พร้อมๆกับเสียงด่าไล่หลังจะตามมาและดังขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์เช่นนี้ทีมยุทธศาสตร์ของคสช.และบิ๊กตู่ย่อมรู้ดี

เพียงแต่ว่า เมื่อไม่สามารถจะทำอะไรได้ ก็ภาวนาขอให้เศรษฐกิจในต่างประเทศมันดีขึ้น เพื่อจะได้แผ่อานิสงส์มาถึงประเทศไทย แล้วจะได้อวดอ้างเป็นผลงานได้ แต่ถึงจะไม่เป็นเช่นนั้น ผู้มีอำนาจก็หาได้ยี่หระหรือหวั่นไหวใดๆไม่ ต้องไม่ลืมว่า จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ท่านผู้นำยังมีมาตรายาวิเศษ ม.44 อยู่ในมือจะใช้อย่างไรก็ได้

หลังการเลือกตั้งหากเกิดแรงกระเพื่อมอย่างหนึ่งอย่างใด แค่ประกาศม. 44 มาตูมเดียวทุกอย่างก็ต้องหยุด สงบนิ่ง ถ้าจะพูดให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่าขนาดจะประกาศระงับหรืองดใช้รัฐธรรมนูญยังได้เลย นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่า ต่อให้มีเสียงครหาอย่างไร ก็ไม่ทำให้ท่านผู้นำและลิ่วล้อหวั่นไหว กระนั้นก็ตาม ที่หลายคนอดเป็นห่วงไม่ได้คือ เมื่อถึงเวลานั้นจริงอารมณ์ร่วมของประชาชนที่นิ่งเฉยต่อการใช้อำนาจต่างๆของคสช. ยังจะอยู่เฉยต่อไปหรือไม่

เหมือนอย่างที่ พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีตส.ส.กระบี่และรัฐมนตรีช่วยคลัง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้ความเห็นล่าสุด หลังการยึดอำนาจผ่านมา 3 ปี รู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับนักการเมืองไทย วันนี้เศรษฐกิจเป็นอย่างไร คุณภาพชีวิตประชาชนเป็นอย่างไร ความทุกข์ยากเดือดร้อนของเกษตรกรและคนยากจนเป็นอย่างไร คนส่วนใหญ่ในสังคมรู้ถึงความเลวร้ายของการยึดอำนาจในระบอบประชาธิปไตย และรู้ถึงผลของการทำลายระบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตยว่าเป็นอย่างไร

สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่าการสะกิดเตือนผู้มีอำนาจ กลับเป็นการเตือนพวกเดียวกันในพรรคที่เคยสังกัด รอดูต่อไปว่าจะเป็นไปตามที่ตนบอกไว้หรือไม่ว่า ชั่วชีวิตที่เหลืออยู่จะสิบปีหรือมากกว่านั้นก็ตาม จะไม่มีโอกาสเห็นพรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลอีกแล้ว เพราะประชาธิปัตย์วันนี้นอกจากต้องต่อสู้กับพรรคคู่แข่งแล้ว ยังต้องต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในพรรคตัวเองอีก มันไม่เป็นเอกภาพ

คนในพรรคกว่าครึ่งไม่ใช่เนื้อแท้ และไม่ยึดมั่นอุดมการณ์พรรคที่ประกาศชัดเจนมาตลอดว่า ประชาธิปัตย์ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ แต่คนพวกหนึ่งกลับรอร่วมเป็นรัฐบาล รอจับมือกับทหารจึงหันไปสอพลอรัฐบาลทหาร แน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่ต้องไปวิเคราะห์ว่าเป็นใคร เพราะพิเชษฐระบุไว้ชัด คนของกปปส.ที่อยู่ในประชาธิปัตย์ ขอให้ไปตั้งพรรคการเมืองให้ชัดเจน ไม่ต้องส่งคนมาซ่อนในประชาธิปัตย์คือ จิตใจเป็นกปปส.แต่มาสวมเสื้อประชาธิปัตย์ แล้วส่งคนมาล้างความคิดล้างอุดมการณ์พรรค

นี่คือความเห็นของคนที่ยืนอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ทว่าคนที่อยู่ในพรรคโดยเฉพาะหัวหน้าพรรคนั้นจะเห็นความจริงอย่างที่ผู้ใหญ่ของพรรคสะกิดเตือนหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่อง จากที่เคยพลาดด้วยการไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารจนทำให้ตัวเองเสียศักดิ์ศรีมาแล้ว ต้องจับตาดูระหว่างและเลือกตั้งว่า พรรคการเมืองที่ชอบอ้างระบบรัฐสภาและยึดมั่นระบอบประชาธิปไตย จะไม่สังฆกรรมกับอำนาจเผด็จการจริงหรือไม่

ส่วนปัญหาระหว่างกกต.กับแม่น้ำ 2 สายคือสนช.และกรธ. ดูท่าว่าจะไม่เลิกรากันง่ายๆ ปลายทางอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นผู้ชี้ขาดว่าปมร่างกฎหมายว่าด้วยกกต.ใน 6 ประเด็นที่กกต.โต้แย้งนั้นขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นก็หวั่นกันว่า ทำตัวมีปัญหามาก 5 เสือกกต.จะถูกมาตรายาวิเศษเขี่ยให้พ้นทางไปเสียก่อน เป็นอย่างนี้ถ้าเป็นวงการพนันขันต่อบอกได้คำเดียวว่า ไม่มีใครกล้าถือหางฝั่งกกต.ร้อยเปอร์เซ็นต์

Back to top button