ครึ่งปีหลัง(60)ก็ยังไม่ดี

ก็นับเป็นเรื่องแปลกดี จากความมั่นใจเหลือหลายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อย่างก้าวเข้าสู่อำนาจใหม่ว่า การบริหารงานบ้านเมือง ไม่เห็นจะมีอะไรยากเย็นเลย


ขี่พายุ ทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

ก็นับเป็นเรื่องแปลกดี จากความมั่นใจเหลือหลายของพล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อย่างก้าวเข้าสู่อำนาจใหม่ว่า การบริหารงานบ้านเมือง ไม่เห็นจะมีอะไรยากเย็นเลย

เขาอาจจะนึกในใจด้วยซ้ำไปว่า พวกเขาเรียนจปร.มา ไม่มีพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นสักอย่าง อาทิ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ กฎหมาย นักบริหารมืออาชีพ และเทคโนโลยีที่เป็นพลวัโลก ที่มิใช่เทคโนโลยีทางทหาร ก็สามารถบริหารชาติบ้านเมืองได้สบาย

แต่ความมั่นใจในวันนั้นชักปร่าแปร่ง เมื่อปรากฏคำปรารภ ซึ่งอาจจะเป็นแค่คำตัดพ้อด้วยความน้อยใจหรือคำสารภาพก็เหลือจะเดาว่า “ทุ่มเท อุตส่าห์แก้ปัญหามา 3 ปี กลับถูกกล่าวหาว่า ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำและเอื้อประโยชน์กลุ่มต่างๆ”

ในที่นี้ คงไม่ขอลงรายละเอียดในเรื่องที่นายกฯ ผู้นำปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ปรารภถึงข้อกล่าวหาเอื้อประโยชน์นายทุนกลุ่มต่างๆ นะครับ เพราะเกรงจะต้องโดนเรียกไปปรับทัศนคติ เนื่องจากมีหลายเรื่องราวพอสมควรที่เกิดขึ้นคล้ายกับที่กล่าวหานักการเมือง

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แม่ทัพเศรษฐกิจของรัฐบาลทหารเองก็ดูเหมือนจะยอมรับกลายๆ ว่า รัฐบาลทุ่มเทเงินช่วยคนจนไปแล้วถึง 9 แสนล้านบาท มากกว่าเม็ดเงินที่ปล่อยไปจำนำข้าวเสียอีก แต่ไม่รู้เงินหายไปไหนหมด

ทุ่มเงินซะขนาดนี้แล้ว มวลชนรากหญ้าก็ยังบ่นไม่มีเงินใช้ เศรษฐกิจที่สะพัดการใช้จ่ายในเวลานี้ กระจุกอยู่ที่คนรวยเท่านั้น

อันที่จริงก็น่าเห็นใจนะครับ ที่รัฐบาลก็มีขีดจำกัดในการดำเนินนโยบายช่วยเหลือรากหญ้า เพราะกลัวจะถูกเยาะเย้ยว่าไปเลียนแบบรัฐบาลประชานิยม ที่ตกเป็นเป้ามุ่งกวาดล้างในเวลานี้

ถึงแม้จะรณรงค์กันครึกโครมถึงการเอา “ประชารัฐ” มาแทนที่ “ประชานิยม” ก็เถอะ

ถ้าเปรียบไปแล้ว ในขณะที่ดร.สมคิดบอกว่า เงินที่ใช้กับรากหญ้าตั้ง 9 แสนล้านบาท ไม่รู้มุดรูหายไปไหนหมด แต่เงินจำนำข้าวซึ่งน้อยกว่ามาก (เพราะมีเงินขายข้าวคืน) กลับเป็นการช่วยเหลือรากหญ้าที่ตรงตัวที่สุด โดยไม่ผ่านหน่วยงานราชการ หรือตัวกลางใดๆ เลย

ชั้นเดียวเชิงเดียวเลยก็คือชาวนาเอาข้าวไปจำนำ ได้ใบประทวนมา ก็นำใบประทวนไปขึ้นเงินกับธ.ก.ส.ได้โดยตรงเลย

ส่วนเรื่องที่กล่าวหาไปเล่นแร่แปรธาตุทุจริตกันเช่นข้าวจีทูจี สต๊อกลม หรือข้าวเสื่อมคุณภาพอะไรเนี่ย ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องไปจัดการเรื่องโกงกัน

แต่ถึงยังไง นโยบายจำนำข้าวก็เป็นการช่วยชาวนาที่ตรงตัวที่สุด ไม่ต้องไปถามหาว่าเงินช่วยเหลือไปไหนเหมือนเดี๋ยวนี้

รัฐบาลที่อ้างอิงการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งเหมือนกับกลุ่มกปปส.และใส่แว่นสีมองนักการเมืองเลวร้ายไปหมด คงไม่คล่องตัวที่จะดำเนินนโยบายช่วยเหลือรากหญ้าที่ตรงตัวที่สุดเช่นนโยบายจำนำข้าวหรอกครับ

เดี๋ยวจะย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง ทั้งที่ก็ลอกเลียนแบบเขามาหลายเรื่องหลายราวแล้ว อาทิ กองทุนหมู่บ้าน และบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค

มนุษย์เราก็ดี รัฐบาลก็ตาม อะไรก็คงไม่ร้ายแรงเท่ากับ “ความคิดความเชื่อตัวเอง กลับกลายเป็นกับดักตัวเอง โดยไม่มีปัจจัยภายนอกอื่นมากระทำ”

มันถึงไม่รู้ว่าเงินช่วยเหลือรากหญ้า 9 แสนล้านบาทมันหายไปไหนไง และมันถึงได้งงงวยไงว่า ทุ่มเททำงานแก้ปัญหามาตั้ง 3 ปี ทำไมยังถูกกล่าวหาเป็นผู้ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ แถมยังโดนคำครหาเรื่องไหลผลประโยชน์ให้กลุ่มทุนต่างๆ

สำหรับตลาดหุ้นผมเอง เมื่อตอนต้นปีก็สตาร์ทกันที่ดัชนี 1,542 จุดครับ บัดเดี๋ยวนี้ก็ยังผุดลุกผุดนั่ง คลานต้วมเตี้ยมอยู่ที่ 1,577 จุด

ไม่ถึงเป้าหมาย 1,650 จุด ที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์คาดหมายและลุ้นกันอย่างหนักสักที

การจะดูเศรษฐกิจให้ถ่องแท้เป็นอย่างไร มันดูไม่ยากหรอกครับ ก็ใช้สูตร C+I+G+X-M

C ก็คือการบริโภค ก็ดูการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนมันคึกคักแค่ไหน I คือการลงทุน ซึ่งมันเหือดหาย แม้รัฐบาลจะกวักมือเชิญชวนเพียงใดก็ตาม G คือการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ส่วน X-M ก็คือดุลการค้า ซึ่งยังคงเกินดุลอยู่เล็กน้อย

ผลลัพธ์ก็คือ ก้าวสู่ครึ่งปีหลังปี 60 แล้ว เศรษฐกิจไทยก็ยังไม่ฟื้น และไม่ว่าจะดำเนินมาตรการกระตุ้นอย่างไร อาการตอบรับก็เฉื่อยชามาก

คงต้องยึดหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร. 9 เป็นดีที่สุด

Back to top button