DIGI ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ?

สูตรง่ายแบบไทยๆ สำหรับคนที่มีบาดแผลที่สันหลังเหวอะหวะ..คือเปลี่ยนชื่อล้างซวย ให้เป็นมงคลมากกว่าเดิม...เหตุ คือลบอดีตที่ไม่สวยงามทิ้งไปบางส่วนหรือทั้งหมดได้...ในโลกที่คนจำนวนหนึ่ง มีความจำสั้นยิ่งกว่าหางเต่า...ยังคงใช้การได้เสมอ


แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

สูตรง่ายแบบไทยๆ สำหรับคนที่มีบาดแผลที่สันหลังเหวอะหวะ..คือเปลี่ยนชื่อล้างซวย ให้เป็นมงคลมากกว่าเดิม…เหตุ คือลบอดีตที่ไม่สวยงามทิ้งไปบางส่วนหรือทั้งหมดได้…ในโลกที่คนจำนวนหนึ่ง มีความจำสั้นยิ่งกว่าหางเต่า…ยังคงใช้การได้เสมอ

ถึงใช้การไม่ได้ แต่ก็สบายใจมากขึ้น สำหรับคนที่เชื่อถือเรื่องเคล็ดลาง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุนี้หรืออย่างไร …กรรมการบริษัท และที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น บริษัท แอสเซท ไบร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ABC จึงได้มีมติ ร่วมใจกันอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทฯ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จากบริษัทเดิม เป็น “บริษัท ดิจิตอลเทค แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน)” (Digital Tech Planet Public Company Limited)

รวมถึงชื่อรหัสย่อในการซื้อขายหุ้นในตลาดด้วยจาก ABC เป็น DIGI … โดยมีผลตั้งแต่ วันที่ 12 กรกฎาคม 2560 แล้วก็แจ้งการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายการดังกล่าว ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในฐานะนายทะเบียนบริษัทมหาชน เป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2560

ในการประชุมวันเดียวกัน ก็ได้มีมติออกมาให้ปรับราคาพาร์ของบริษัท จากเดิม 0.10 บาท เป็นพาร์ 0.50 บาท …หรือ รวบพาร์

ผลที่ตามมา นอกจากทำให้ราคาหุ้นของหลังการรวบพาร์ เปลี่ยนไปจากเดิมเป็น 5 เท่า และการเปลี่ยนชื่อย่อของใบสำคัญแสดงสิทธิฯ จาก “ABC-W1” และ “ABC-W2” เป็น “DIGI-W1” และ “DIGI-W2” เพื่อให้สอดคล้องกัน….ยังทำให้การคำนวณราคาการใช้สิทธิและอัตราการใช้สิทธิ์ ตอนที่ราคายังใช้พาร์ 0.10 บาทอยู่ วุ่นวายไปหมด (ดูตารางประกอบ)ฉ

คำถามหลักคือ การเปลี่ยนแปลงนี้ มีนัยสำคัญต่อผลประกอบการ หรือ มูลค่าผู้ถือหุ้นบริษัทมากเพียงใด

คำตอบเบื้องต้นคือ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญแม้แต่น้อย เพราะกิจการของ ABC นับตั้งแต่เปลี่ยนมือจากเจ้าของเดิม มาเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ปัจจุบัน นายปรเมษฐ์ รังรองธานินทร์  มีแต่ทรงกับทรุด เพราะขาดทุนทุกปีต่อเนื่อง เพราะยังหาธุรกิจหลักที่แท้จริงไม่ชัด

ในช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ABC มีเพียงธุรกรรม “แก้ขัด” ซื้อเวลาไปเรื่อยๆ ราคาหุ้นย่อมต้องทรุดฮวบลงตามสภาพของมูลค่าทางบัญชี ที่ปัจจุบันล่าสุดเหลือแค่ 0.07 บาท

ABC พยายามขยับตัวการลัดเร่งการเติบโต โดยซื้อกิจการเข้ามาเติมหลายทาง เช่น ธุรกิจ E-Payment และ E-Commerce โดยชูเป้าเป็นผู้นำด้าน Digital Online ในไทย ที่คาดว่าตลาดจะมีขนาดเติบโตปีละ 40% พร้อมกับทำธุรกิจคู่ขนานกัน (ที่ไม่ขั้นเลย) เช่น โรงพยาบาลสัตว์ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม..แต่ทุกโครงการ ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างผลกำไรกลับคืนมาได้สวยงามตามที่อ้าง

การลงทุนที่สะเปะสะปะและคืนกำไรช้ามาก ทำให้ ABC เป็นหุ้นที่ราคาเคลื่อนไหววูบวาบในบางช่วง จากการปล่อยข่าวกระตุ้นราคา …โดยเฉพาะข่าวที่มีการแตกพาร์ 1 ครั้ง ก่อนจะเพิ่มทุนอีก 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในปลายปี 2557 เพิ่มทุน 100% ขายผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 1 ต่อ 1 และเพิ่มทุนอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2558 อีก 200% ในสัดส่วน 1 ต่อ 2 หุ้น รวมแล้วเพิ่มทุน 500% ภายใน 2 ปี

การเพิ่มทุนทุกครั้ง ทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นยังคงเป็นบวกต่อไป แต่ไม่ได้ช่วยให้ตัวเลขขาดทุนสะสมลดน้อยลง

ปีนี้ มีข่าวใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับริษัท แต่ก็ทำให้ชื่อเสียงของ ABC โด่งดังเป็นพลุในทางลบ…ชั่วข้ามคืน จากความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ถือหุ้นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการใน ABC แม้แต่น้อย

ครูอ้อย  หรือ นางฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เชี่ยวชาญการสอนด้านจิตใต้สำนึก และเจ้าของงานเขียนขายดี ถูกคนบางกลุ่มออกมาเปิดโปงว่า สร้างความเสียหายต่อนักลงทุนบางคน ที่ถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนด้วยการซื้อหุ้นตัวหนึ่ง (เปิดเผยต่อมาว่าเป็น ABC)  ตามคำชี้ชวนของครูอ้อย โดยระบุว่า ครูอ้อยบอก “ข้อมูลเชิงลึก” ถึงเป้าหมายของราคาหุ้นว่าจะขึ้นไปสูงถึง 15 บาทต่อหุ้น และบอกหากขาดทุนจะรับผิดชอบ…แต่กลับเกิดผลลัพธ์ตรงกันข้าม เพราะขาดทุนยับกว่า 13 ล้านบาท จากยอดลงทุนที่ราคาเฉลี่ยหุ้นระดับราคามากกว่า 4.50 บาท สูงถึง 20 ล้านบาท

ข่าวดังกล่าว ทำให้ ABC ตกเป็น “ขี้ปาก” ในทางลบมาก เพราะนางฐิตินาถนั้นมีชื่อเสียงที่ไม่ธรรมดา และมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ABC โดยเริ่มถือหุ้น 2.5 ล้านหุ้น ตั้งแต่กลางปี 2557 แล้วยังใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน และซื้อเพิ่มบางส่วน จนล่าสุดถือที่ 118.551 ล้านหุ้น…ไม่มีการขายออกเลย

การรวบพาร์ และเปลี่ยนชื่อบริษัทคราวนี้ โดยที่ไม่ได้ช่วยให้ฐานะของ DIGI1 เปลี่ยนแปลงทางบวก….ทำให้ยากจะสรุปเป็นอย่างอื่นว่า ต้องการสลัดทิ้งภาพลักษณ์ที่โยงใยเข้ากับครูอ้อย ….ให้ไกลแสนไกล

เพียงแต่คนที่คิดและทำออกมา อาจลืมไปว่า ไม่ว่าจะเปลี่ยนกี่ชื่อ หรือ รวบพาร์กี่ครั้ง ครูอ้อย หรือ นางฐิตินาถ ก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เหมือนเดิม…..ป่วยการเปล่าๆ ปลี้ๆ

อิ อิ อิ

Back to top button