คุณค่าบริษัท : BH โตได้ดีอยู่

มีการวิเคราะห์กันว่า บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH จะมีกำไรปกติในไตรมาส 2 ปี 60 ที่ 942 ล้านบาท ลดลง 6.3% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 9.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เติบโตเร่งตัวจากอานิสงส์ของฤดูฝนที่มาเร็วซึ่งเป็นบวกต่อจำนวนผู้ป่วยไทย


ขณะที่ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยต่อหัวคาดว่ายังเพิ่มขึ้นตามความสามารถในการรักษาโรคซับซ้อน ทำให้คาดรายได้จะหดตัว 1.1% จากปัจจัยฤดูกาล แต่พลิกมาเติบโตได้ 1.2% หลังจากหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส ขณะที่การควบคุมต้นทุนคาดว่ายังสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับในอดีต

นอกจากนี้คาดว่า BH ยังมีปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตปีนี้ยังคงมาจากการขยายตัวของ Margin จากการเน้นรักษาโรคที่ซับซ้อนมากขึ้นสอดคล้องกับการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการรักษาเพื่อชดเชยจำนวนผู้ป่วยที่ชะลอตัว ขณะที่ฝั่งต้นทุนยังคงเน้นการควบคุมอย่างเข้มข้นและมีประสิทธิภาพ โดยเน้นลงทุนเฉพาะพื้นที่บริการทางการแพทย์ ชะลอการลงทุนขนาดใหญ่ออกไปเพื่อลดความเสี่ยงที่จะฉุดผลการดำเนินงานในภาพรวม (2nd Campus) เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรมในปัจจุบันโดยเฉพาะจากลูกค้าตะวันออกกลางที่ชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม BH ยังคงให้ความสำคัญกับทุกตลาด ทั้งการเจาะตลาดมากขึ้นสำหรับตลาดดั้งเดิมอย่างตะวันออกกลาง ขณะที่ตลาดมีศักยภาพสูงในปัจจุบันอย่างอินโด-จีนก็มีการขยายตลาดเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

เนื่องจาก BH มีชื่อเสียงของโรงพยาบาลที่จะดึงดูดทั้งผู้ป่วยและแพทย์มือดี ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่รักษาความสามารถในการแข่งขันระยะยาว เป็นโอกาสต่อการปรับเพิ่มค่ารักษาต่อเนื่อง และยังมีราคาถูกกว่าการรักษาในต่างประเทศ โดยประเมินกำไรปีนี้เพิ่มขึ้น 6%

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,495.22 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 4,693.77 ล้านบาท ส่วนกำไรของบริษัทขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,005.29 ล้านบาท หรือ 1.38 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 977.75 ล้านบาท หรือ 1.34 บาทต่อหุ้น โดยผลประกอบการเพิ่มขึ้นจากอัตรากำไรของ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง

เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินเพื่อเป็นตัวแปรในการตัดสินใจต่อการลงทุน พบว่าฐานะทางการเงินของบริษัทยังดูดี เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง 10,003.28 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 2,493.70 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 4.02 เท่า ถือว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทมากพอสมควรในการขยายกิจการ

ส่วนหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมแค่ 6,695.84 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับสัดส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 15,761.36 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.43 เท่า แสดงว่า บริษัทปลอดจากภาระหนี้จริงๆ

ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่าแม้การเติบโตของรายได้จะไม่โดดเด่น แต่จากความสามารถในการทำกำไรที่ยังเป็นเลิศ รวมถึงฐานะการเงินและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 200 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) 174,850,200 หุ้น 24.00%
  2. บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) 106,760,417 หุ้น 14.65%
  3. UOB KAY HIAN (HONG KONG) LIMITED – Client Account 60,829,265 หุ้น   8.35%
  4. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 48,224,842 หุ้น  6.62%
  5. บริษัท บริหารสินทรัพย์ทวี จำกัด 36,632,014 หุ้น  5.03%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายชาญวิทย์ ตันติ์พิพัฒน์ ประธานกรรมการ
  2. นางลินดา ลีสหะปัญญา กรรมการผู้จัดการ
  3. นายชอง โท กรรมการ
  4. นายสุวรรณ วลัยเสถียร กรรมการ
  5. นายนำ ตันธุวนิตย์ กรรมการ

Back to top button