เส้นผมบังตา
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดคงตัวในแดนบวกเล็กน้อย ชนิดที่ไม่มีนัยสำคัญ ด้วยมูลค่าซื้อขายที่เบาบางจากแรงซื้อเก็งกำไรระยะสั้น หลังจากร่วงแรงวานซืนนี้ แต่ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็รู้ดีว่ามรสุมร้ายทางการเมืองกำลังจะตามมาโหมกระหน่ำ ซึ่งจะรบกวนบรรยากาศการลงทุนต่อไปตลอดเดือนสิงหาคมนี้
พลวัตปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดคงตัวในแดนบวกเล็กน้อย ชนิดที่ไม่มีนัยสำคัญ ด้วยมูลค่าซื้อขายที่เบาบางจากแรงซื้อเก็งกำไรระยะสั้น หลังจากร่วงแรงวานซืนนี้ แต่ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็รู้ดีว่ามรสุมร้ายทางการเมืองกำลังจะตามมาโหมกระหน่ำ ซึ่งจะรบกวนบรรยากาศการลงทุนต่อไปตลอดเดือนสิงหาคมนี้
แม้กระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยอมรับข้อเท็จจริงนี้ แม้จะยังคงใช้ภาษาที่ทำให้บรรยากาศดูดีเกินระดับปกติก็ตาม
ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือนในเดือนกรกฎาคม ทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ 50.3 โดยรวมความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อ ผลประกอบการ ต้นทุนและการจ้างงานไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนมากนัก ยกเว้นด้านการลงทุนและปริมาณการผลิตที่ลดลงบ้างโดยมาจากความเชื่อมั่นที่ลดลงของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ
ดัชนีด้านการลงทุนที่ลดลง และกระจุกตัวในกลุ่มผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามคาดการณ์ยอดขายใน 3 เดือนข้างหน้าที่ชะลอตัวลง รวมถึงกลุ่มผู้ผลิตเครื่องจักรที่ชะลอการลงทุนลงตามคำสั่งซื้อในประเทศที่ลดลง
ขณะที่ดัชนีด้านปริมาณการผลิตปรับลดลง โดยในบางภาคอุตสาหกรรมลดลงค่อนข้างมากแม้จะมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ที่ต้องการระบายสินค้าคงคลังจากการผลิตที่ขยายตัวในช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้ ปริมาณการค้านอกภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวได้ดี อาทิ ในธุรกิจขนส่งและธุรกิจโทรคมนาคมที่ดัชนียืนอยู่เหนือระดับ 50 ค่อนข้างมาก
รายงานระบุว่า ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงประเมินว่าภาวะทางธุรกิจจะดีขึ้นจากปัจจุบัน สะท้อนจากดัชนีฯที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 54.6 ในเดือนก่อนมาอยู่ที่ระดับ 55.1 ในเดือนนี้ ส่วนใหญ่เป็นการปรับเพิ่มขึ้นตามความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการที่ดีขึ้นในภาคการค้าและภาคก่อสร้าง รวมถึงมุมมองเชิงบวกในด้านต้นทุนที่ปรับดีขึ้น
ทางด้านองค์กรด้านเครดิตบูโร ผู้บริหารอย่าง นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ได้ออกมาแสดงความกังวลว่า หลังสถานการณ์น้ำท่วมหนักในภาคอีสาน ได้ออกหนังสือถึงธนาคารและสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกกว่า 96 แห่ง เพื่อให้ระมัดระวังการรายงานและนำส่งข้อมูลของลูกหนี้กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมโดยเฉพาะ หากมีการผ่อนผันหรือผ่อนปรนการชำระหนี้ให้กับลูกค้าดังกล่าว โดยระบุว่า ควรยึดถือข้อเท็จจริงตามนโยบายที่ได้ช่วยเหลือหรือผ่อนผันให้กับลูกค้า เช่น กรณีที่ลูกค้าสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงหรือข้อผ่อนผันได้ สมาชิกสามารถรายงานและนำส่งข้อมูลการชำระหนี้ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามข้อตกลงหรือข้อผ่อนผันนั้นในสถานะบัญชี “ปกติ” แทนการรายงานและนำส่งข้อมูลว่า “ลูกค้าผิดนัดชำระหนี้” เพื่อช่วยเหลือลูกค้าไม่ให้เกิดความเสียหายในประวัติของตน
ในมุมกลับกัน แม้ว่าจะยังคงมีปัจจัยลบรุมเร้า แต่ด้านบวกยังมีให้เห็นจากการที่มีตัวเลขทำให้ใจชื้นขึ้น จากที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่คาดการณ์ในเชิงบวกว่า การส่งออกในปี 2560 น่าจะสามารถรักษาการขยายตัวได้ตามกรอบประมาณการที่ 3.5-4.5% หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวได้ 7.8% และแรงส่งด้านปริมาณหรือคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้ายังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้ว่า ราคาสินค้าเกษตรหลักที่อยู่ในระดับต่ำ การเบิกจ่ายงบลงทุนที่ชะลอตัวลง และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแรงลง อาจจะยังถ่วงการใช้จ่ายภายในประเทศ
แม้จะมีมุมมองเชิงบวก แต่ กกร.ยังมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย จึงคงกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 60 ไว้ที่ 3.5-4.0% และเงินเฟ้อที่ 0.5-1.5% ตามเดิม และแสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางต่างๆ โดยเฉพาะ ธนาคารกลางสหรัฐ (FED), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ซึ่งมีแนวโน้มจะลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ
ประเด็นเรื่องค่าเงินบาทมีความสำคัญอย่างมาก เพราะนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ระบุว่า กระแสเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศที่มากและรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัวให้สอดคล้องพร้อมกับรับมือกับสถานการณ์ โดยทำประกันความเสี่ยงในเรื่องค่าเงินและประกันการชำระเงินของลูกค้า เพื่อป้องกันผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งค่าและผลกระทบในกรณีที่ลูกค้าไม่ชำระเงิน
ที่น่าสนใจคือ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยกลับมีมุมมองเชิงบวกที่เกินเลยกว่ากลุ่มอื่นๆ เพราะปรับคาดการณ์เติบโตของมูลค่าส่งออกในปี 2560 เพิ่มขึ้นเป็น 5% จากเดิมที่คาดไว้ 3.5% เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อสินค้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปัญหาบาทแข็งค่า
ปัจจัยทั้งบวกและลบข้างต้นไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย เมื่อนำมาหักกลบข้อเท็จจริงที่ว่าการเมืองไทยนับแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไปจะปะทุความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงสิ้นเดือน โดยเฉพาะวันนี้จะมีการตัดสินคดีสำคัญที่เคยเกิดเหตุการณ์ขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่กระทบกับความรู้สึกของกลุ่มพลังจำนวนมาก และยังตามมาด้วยเรื่องพิพากษาคดีรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในวันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การลงทุนในตลาดจำต้องระมัดระวังมากกว่าระดับปกติ
นักลงทุนที่ชาญฉลาดย่อมต้องเรียนรู้ที่เอาเส้นผมที่บังตาออกไปเพื่อมองเห็นอนาคตที่กระจ่างยิ่งขึ้น
ใครที่เชื่อว่าการเมืองไม่กระทบตลาดหุ้น และเข้าซื้อหุ้นที่รีบาวด์เล็กน้อยบ่ายวานนี้ อาจจะต้องทบทวนวิธีคิดและพฤติกรรมการลงทุนเสียใหม่ในระยะต่อไป