เคาะวนไป

*หากมองสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาจะเห็นว่า หุ้นจำนวนมากยังติดอยู่ในกรอบเดิมๆ แต่ก็มีหุ้นบางตัวที่สามารถทะยานขึ้นไปสร้างฐานใหม่ที่สูงกว่าเดิมได้อย่างแข็งแกร่ง หรือแม้กระทั่งการเคลื่อนตัวที่มีลักษณะ w-shape โดยจุดต่ำสุดของการย่อตัวแต่ละรอบสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นักเล่นยังต้องเคาะวนไปนะจะบอกให้


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*หากมองสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาจะเห็นว่า หุ้นจำนวนมากยังติดอยู่ในกรอบเดิมๆ แต่ก็มีหุ้นบางตัวที่สามารถทะยานขึ้นไปสร้างฐานใหม่ที่สูงกว่าเดิมได้อย่างแข็งแกร่ง หรือแม้กระทั่งการเคลื่อนตัวที่มีลักษณะ w-shape โดยจุดต่ำสุดของการย่อตัวแต่ละรอบสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นักเล่นยังต้องเคาะวนไปนะจะบอกให้

*เหล่านี้เป็นประเด็นที่ผู้เล่นรับรู้กันมานานพอสมควร และคงไม่ต้องชี้แนะอะไรมากมาย เพราะการที่ดัชนีแกว่งตัวขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะมาปิดที่  1,578.26 จุด บวกไป 0.01 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.46 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเหตุการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ จึงไม่ใช่ช็อตที่ต้องตื่นเต้นอะไรมากมาย และผู้เล่นควรทำตัวพลิ้วไหวไปตามกระแสตลาดหุ้นในแต่วัน ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่ทำให้นักเล่นอยู่รอดปลอดภัยพะยะค่ะ

*รูปแบบการเล่นดังกล่าวเหมือนกับการอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องของหุ้น SCB ล้วนเป็นแพตเทิร์นเดิมที่ผู้เล่นหลายคนคุ้นเคย ก่อนหน้านี้เคยขึ้นไปติดกรอบด้านบนที่บริเวณ 160-165 บาทอย่างไร วันนี้ก็ยังติดกรอบดังกล่าวเหมือนเดิม แถมวันนี้กำลังโค้งตัวลงไปหาฐานแนวรับ 135 บาทอีกครั้ง ผู้เล่นก็ควรลงไปรอแถวนั้นน่าจะปลอดภัยสุด หลังหุ้นลงมาปิดที่ 143 บาท ลบไป 2 บาท ด้วยมูลค่า 1.82 พันล้านบาทแล้วนะซี

*เช่นเดียวกับในรายของ AOT ทะยานขึ้นมาปิดที่ 53.25 บาท บวกไป 0.75 บาท ด้วยมูลค่า 1.15 พันล้านบาท ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่า หุ้นกำลังอยู่ในช่วง side way up จึงต้องตามกระแสให้ทัน ไม่มีอะไรต้องคิดให้เสียเวลา แถมในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาหุ้นทะยานขึ้นต่อเนื่อง น้องโมถึงเชื่อว่า หุ้นน่าจะไปต่อได้อีกเยอะ เพราะหุ้นถูกวางไว้ในตำแหน่ง growth stock ส่งผลให้ค่า P/E 36 เท่า ไม่ได้สูงเกินไปหรอกค่ะ

*ส่วนรายที่น่าเป็นห่วงสุดๆ “โมนิก้า” คงต้องเหลือบดู KCE เป็นลำดับแรกอีกเช่นกัน เพราะแรงเทขายไม่มีทีท่าจะเบาลงเลย แถมลักษณะการขายเที่ยวนี้ทำเหมือนบริษัทกำลังเจ๊ง? มันเป็นเรื่องที่สะเทือนอารมณ์อย่างรุนแรง ยิ่งเห็นหุ้นลงมาทำ new low ในรอบ 1 ปี 2 เดือน ด้วยการลงมาปิดที่ 82.75 บาท ลบไป 3.50 บาท หรือลงไป 4% ท่ามกลางมูลค่า 700 ล้านบาท ยิ่งเป็นสถานการณ์ที่คับขันอย่างแน่นอน เพราะวันนี้เทรดกันบนค่า P/E 17 เท่า แต่แรงเทขายยังมีออกมาเรื่อยๆ มันหมายความว่าอย่างไร?

*เหมือนกับในรายของ ESSO กระชากขึ้นมาปิดที่ 10.80 บาท บวกไป 1.15 บาท หรือขึ้นไป 12% ด้วยมูลค่า 800 ล้านบาท ย่อมเป็นประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” เกิดอาการคิดหนักอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไม่น่าจะมีประเด็นใหม่ๆ มาปั่นกระแสได้อีกแล้ว บวกกับพรรคพวกเจ้ากรมข่าวลือก็ถูกเรียกตัวเข้าไปปรับทัศนคติเป็นที่เรียบร้อย เดี๊ยนถึงสงสัยการจุดพลุรอบใหม่ของหุ้นตัวนี้ต้องมีอะไรมากกว่าที่คิดแน่ๆ งานนี้ต้องเคาะขวาเพื่อตามไปดูห่างๆ ได้เลยเจ้าค่ะ

*เม้าท์ถึงเรื่องอยากรู้ขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ต้องย้อนกลับมาดูหุ้น PK หลังทะยานขึ้นมาปิดที่ 6.90               บาท บวกไป 0.25 บาท หรือขึ้นไป 3.80% ด้วยมูลค่า 162 ล้านบาท มันเป็นช็อตของการเล่นรอบใหม่ที่น่าจับตามอง ยิ่งเห็นหุ้นติดกรอบด้านบนบริเวณ 7.50 บาทถึง 2 ครั้งด้วยกัน ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเข้าเป็นพิเศษ เดี๊ยนถึงขอแนะนว่า หากวันนี้ฝ่ากระแสขึ้นไปไม่ไหว ก็ควรถอยออกมาก่อนพะยะค่ะ

*ส่วนที่ใส่กันหนักอย่าง FTE ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่นิยมของใหม่สดๆ ซิงๆ บวกกับนักเล่นเพิ่งจะไล่ราคากันอย่างจริงจังวันแรก หุ้นถึงพุ่งพรวดพราดขึ้นมาปิดที่ 3.56 บาท บวกไป 0.22 บาท หรือขึ้นไป 6.60% ด้วยมูลค่า 164 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นจังหวะของการตามไปดูอีกเช่นเคย ผสมกับการเทรดวันนี้อยู่บนค่า P/E 20 เท่า จึงน่าจะโหนกระแสไปตามเลยเจ้าค่ะ

*เหมือนกับในรายของ PPS มีข่าวดีรอรับเต็มประตูหน้าต่าง แถมวันนี้เห็นกันอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ว่า มีรายได้จากค่าที่ปรึกษาสนามบินสุวรรณภูมิไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท และจะทำให้กำไรปี 60 โตเท่าตัวจากปี 59 ก็เป็นตัวเร่งให้พวกนกรู้รีบเข้ามาไล่ราคากันอย่างเมามัน ผลดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นขึ้นมายืนอยู่ที่ 1.66 บาท บวกไป 0.08 บาท หรือขึ้นไป 5% ด้วยมูลค่า 92 ล้านบาท วันนี้หุ้นถึงมีโอกาสไปต่อค่อนข้างสูงไงล่ะค่ะ

*สำหรับรายที่ก่ำกึ่งไปต่อ กับไม่ไปต่อ “โมนิก้า” ต้องหันมามอง SPVI จู่ๆ กระชากขึ้นมาปิดที่ 1.02 บาท บวกไป 0.23บาท หรือขึ้นไป 29.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 122 ล้านบาท มันเป็นเกมเสี่ยงของพวกขาลุยอย่างแท้จริง เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นหุ้นพุ่งทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง จู่ๆ ไล่ราคากันอย่างบ้าเลือด ทั้งที่ยังไม่เห็นมีอะไรในก่อไผ่(ยกเว้นหน่อไม้) ย่อมเป็นจังหวะที่ทำให้เดี๊ยนถอยฉากมากกว่าเข้าไปมีส่วนรวมนะคะ

Back to top button