พาราสาวะถี

โบราณท่านว่าไว้ช้างเหยียบนาพระยาเหยียบเมือง จะมีความรุ่งเรืองไปสู่ท้องถิ่นนั้น วันนี้รัฐบาลคสช.นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พาทัวร์รัฐนาวาไปประชุมนอกสถานที่ที่โคราช ท่ามกลางความคาดหวังว่า จะมีอะไรใหม่ๆไปช่วยกระตุ้นให้ประตูสู่อีสานแห่งนี้มีความคึกคักและเป็นต้นแบบของการพัฒนาภายใต้ร่มเงาของครม.คณะรัฐประหาร


อรชุน

โบราณท่านว่าไว้ช้างเหยียบนาพระยาเหยียบเมือง จะมีความรุ่งเรืองไปสู่ท้องถิ่นนั้น วันนี้รัฐบาลคสช.นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พาทัวร์รัฐนาวาไปประชุมนอกสถานที่ที่โคราช ท่ามกลางความคาดหวังว่า จะมีอะไรใหม่ๆไปช่วยกระตุ้นให้ประตูสู่อีสานแห่งนี้มีความคึกคักและเป็นต้นแบบของการพัฒนาภายใต้ร่มเงาของครม.คณะรัฐประหาร

อะไรยังไงไม่รู้ ที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือการรายงานบรรยากาศการลงพื้นที่ของบิ๊กตู่พร้อมคณะ ที่จะมีการรายงานกันแบบถี่ยิบ เกาะติดรัฐมนตรีกันรายตัวรายกระทรวง จากการขอความร่วมมือของโทรทัศน์ฟรีทีวีและทีวีดิจิตอล ภายใต้การสั่งการของ “ไก่อู”สรรเสริญ แก้วกำเนิด ในฐานะรักษาการอธิบดีกรมกร๊วก ซึ่งยืนยันว่ามีทีวีช่องเดียวที่ปฏิเสธที่จะร่วมสังฆกรรมงานนี้คือเนชั่น ทีวี

ส่วนที่จะถูกนำมาแสดงเป็นผลงานจากการประชุมครม.นอกเหนือจากการถ่ายทอดสดผ่านช่อง 11 แล้วคงเป็นเรื่องของรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน มอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-โคราช ตามเป้าที่หัวหน้าคสช.บอกว่าจะทำให้อีสานเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เป็นปกติของคนเป็นผู้นำไม่ว่าจะมาด้วยวิธีการใดก็ตาม ต้องโพนทะนาขายฝันให้คนเชื่อไว้ก่อน

แต่สำหรับรัฐบาลคสช.แล้ว หากมองโลกแห่งความเป็นจริงเวลา 3 ปีผ่าน จะพบได้ว่าผลงานและความน่าเชื่อถือนั้นลดน้อยถอยลงไปไม่ใช่น้อยหากเทียบกับช่วงแรกที่พลเอกประยุทธ์นำทีมยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ล่าสุด ผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์ พบว่า ความพึงพอใจในการบริหารงานของรัฐบาลคสช.ช่วง 3 ปี เฉลี่ย 5.27 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ลดลงจากการประเมินการทำงานรอบ 2 ปี 6 เดือน ที่ได้ 5.83 คะแนน และรอบ 2 ปี ที่ได้ 6.19 คะแนน

ไม่เพียงเท่านั้น การสำรวจครั้งนี้รัฐบาลยังได้คะแนนลดลงทุกด้าน เมื่อเปรียบเทียบกับการประเมินการทำงานครบ 2 ปี 6 เดือน ด้านความมั่นคงได้ 6.38 คะแนน ลดลง 0.52 คะแนน ด้านการบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมายได้ 5.75 คะแนน ลดลง 0.58 คะแนน ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ได้ 5.30 คะแนน ลดลง 0.59 คะแนน ด้านการต่างประเทศ ได้ 5.09 คะแนน ลดลง 0.32 คะแนน และด้านเศรษฐกิจ ได้ 3.85 คะแนน ลดลง 0.56 คะแนน

จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าด้านเศรษฐกิจนั้นถึงขั้นสอบตกในระดับที่ได้คะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน นี่ย่อมเป็นเสียงสะท้อนว่า การดำเนินการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนโดยรัฐบาลคสช.นั้น ยังไม่มีผลงานอะไรสัมผัสจับต้องได้ ซึ่งปัจจัยตรงนี้นี่เองที่ทำให้บิ๊กตู่โชว์ความหงุดหงิดทุกครั้งที่ถูกนักข่าวจี้ถาม สุดท้ายต้องออกลูกตีหน้ายักษ์ขู่และจบลงด้วยการย้ำว่าตัวเองทุ่มเททุกอย่าง หวังดีต่อประเทศชาติ หวังจะพาบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า

ถ้าเป็นนักการเมืองก็จะถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ แต่สำหรับนายทหารผู้ทระนงแล้ว ต้องบอกว่าเป็นการยืดอกยืนยันอย่างมั่นอกมั่นใจ ในประเทศนี้ไม่มีใครดีเกินกว่าตัวเองและพวกพ้องอีกแล้ว โดยเฉพาะการทำให้ประเทศชาติสงบด้วยอำนาจพิเศษและมาตรายาวิเศษ ทั้งๆที่อนาคตข้างหน้าหรืออาจจะปีหน้า ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า หลังเลือกตั้ง(แบบเสียมิได้)แล้ว สถานการณ์ของบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร

ที่แน่ๆ มีคนมองไปถึงตัวพรรคการเมืองที่จะไปร่วมสนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนนอก จากคณะผู้มีอำนาจชุดปัจจุบัน ที่ไม่อยากจะบอกว่าคงหนีไม่พ้นพลเอกประยุทธ์อีกนั่นแหละ เห็นชัดๆ พรรคการเมืองขนาดกลางบางพรรค โดยเฉพาะพรรคที่ออกมาสนับสนุนการประชุมครม.สัญจรที่โคราชอย่างออกนอกหน้า เพราะตัวเองมีฐานเสียงสำคัญอยู่ในจังหวัดนี้

พรรคการเมืองดังว่า จะว่าไปแล้วก็คลุกคลีอยู่กับแวดวงคนมีสีอยู่แล้ว และผู้ยิ่งใหญ่ของพรรคตลอดระยะเวลาที่เล่นการเมืองมาก็เป็นพวกแทงกั๊ก จับปลาหลายมือ เล่นไพ่หลายวงอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากหลังการเลือกตั้งจะประกาศจุดยืนในการสนับสนุนคนนอกมาเป็นผู้นำ โดยไม่สนใจว่าจะมีรากที่มาอย่างไร

ส่วนพรรคการเมืองใหญ่เพื่อไทยคงไม่มีทางที่จะร่วมหอลงโรงกับคนนอกที่ยึดอำนาจของตัวเอง แต่สำหรับพรรคคู่แข่งอย่างประชาธิปัตย์ จะบอกว่าอ่านใจยากเดาใจลำบากก็คงไม่ใช่ การไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารที่ผ่านมาเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดแจ้งว่า ขอให้ได้ตัวเองขึ้นสู่อำนาจก็ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าวิธีการที่ได้มาซึ่งอำนาจนั้นจะเป็นอย่างไร

ยิ่งได้ฟังความเห็นล่าสุดของ องอาจ คล้ามไพบูลย์ ต่อคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนว่าคนของพรรคการเมืองนี้เขาแบ่งหน้าที่กันเล่น แบ่งบทบาทกันแสดงยังไงชอบกล เพราะองอาจมองว่า ประชาชนยังฝากความหวังและอยากเห็นผลงานการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรม สามารถทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น ยังให้กำลังใจผู้มีอำนาจด้วยว่า หากมีความตั้งใจที่จะปฏิรูปอย่างแท้จริงเชื่อว่าน่าจะทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติตามที่ทุกฝ่ายคาดหวังได้ในที่สุด ซึ่งเป็นท่าทีที่ผิดไปจากหัวหน้าพรรค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่วันก่อนออกมาบอกว่า คณะกรรมการส่วนใหญ่ไม่ใช่นักปฏิรูปแต่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมเสียมากกว่า พร้อมกับระบุด้วยว่า ประชาชนกำลังสำลักการปฏิรูป

ด้วยท่วงทำนองเช่นนี้ จึงเป็นเหตุผลให้คนจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อว่าพรรคเก่าแก่จะไม่ร่วมสังฆกรรมกับผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งมาให้เป็นนายกฯคนนอก ทั้งๆที่รู้ว่าคนๆนั้นก็คือผู้ที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหารครั้งนี้นี่เอง แต่ถ้าคนที่ไม่ชอบใจส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้เป็นกองเชียร์อยู่แล้ว จะไปอินังขังขอบอะไร เพราะภาพลักษณ์เรื่องยึดมั่นในระบบรัฐสภาและต่อต้านเผด็จการนั้น มันได้หายไปจากพรรคการเมืองแห่งนี้นานแล้ว

ส่วนสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ นอกเหนือจากครม.สัญจรโคราชที่ผู้มีอำนาจพยายามจะสร้างความคึกคัก เชื่อว่าสายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมองไปถึงผลแห่งคดีที่จะพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคมนี้กันหมดแล้ว ทุกคนต่างอยากรู้ว่าเมื่อมีบทสรุปต่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหตุการณ์จากนั้นจะเป็นอย่างไร ในเมื่อทุกอย่างยังอยู่ใต้อาณัติของอำนาจพิเศษและเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แล้วจะต้องไปกลัวแรงกระเพื่อมใดๆ ยิ่งเรื่องของความปรองดอง หากกระบวนการความคิดและวิธีปฏิบัติยังเป็นอย่างที่เห็นก็อย่าหวังว่ามันจะเกิดขึ้น

Back to top button