พาราสาวะถี

เห็นสีหน้าอันชื่นมื่นของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ลงพื้นที่ก่อนการประชุมครม.สัญจรที่โคราชแล้ว ทำให้รู้สึกว่าท่านผู้นำน่าจะมีความสุขอย่างยิ่งในเวลานี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่กับมุกที่คุยกับกบซึ่งชาวบ้านยื่นให้ระหว่างนั่งรถอีแต๊กแล้วบอกว่าจะเป็นเจ้าชายกบในชาติหน้านั้น มันชวนให้รู้สึกนึกถึงคำเตือนเรื่องภาวะเศรษฐกิจกบต้มยังไงชอบกล


อรชุน

เห็นสีหน้าอันชื่นมื่นของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ลงพื้นที่ก่อนการประชุมครม.สัญจรที่โคราชแล้ว ทำให้รู้สึกว่าท่านผู้นำน่าจะมีความสุขอย่างยิ่งในเวลานี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่กับมุกที่คุยกับกบซึ่งชาวบ้านยื่นให้ระหว่างนั่งรถอีแต๊กแล้วบอกว่าจะเป็นเจ้าชายกบในชาติหน้านั้น มันชวนให้รู้สึกนึกถึงคำเตือนเรื่องภาวะเศรษฐกิจกบต้มยังไงชอบกล

ไม่ได้เบรกอารมณ์หรือไปสะกิดชวนให้ท่านโมโห เพราะรู้กันทั้งประเทศแล้วว่า เวลานี้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่อารมณ์ดีที่สุดในโลก ส่วนเวลาที่ท่านด่าหน้าดำหน้าแดงนั้น ไม่ใช่การโกรธเพียงแต่เป็นคนพูดเสียงดังเท่านั้น (ฮา) ก็น่าแปลกดีเหมือนกันท่านผู้นำดูมีความสุขมากมาย แต่เหตุไฉนฝ่ายความมั่นคงถึงหวั่นไหวและหวาดกลัวแต่การนัดฟังคำพิพากษาในคดีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันพรุ่งนี้เป็นอย่างมาก

หลายสื่อได้วิเคราะห์กันไปหมดแล้วว่า มองจากเหตุและปัจจัย รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นภาพชัดว่า ไม่ได้มีการขยับใดๆ ที่จะทำให้ผู้กุมชะตากรรมด้านความมั่นคงต้องตกอกตกใจ ตัวของยิ่งลักษณ์นับแต่แถลงปิดคดีด้วยวาจาแล้วก็ไม่ได้สื่อข่าวส่งความใดๆ เต็มที่ก็จะมีภาพของการเดินสายทำบุญปรากฏอยู่บนเฟซบุ๊คส่วนตัวเท่านั้น

ส่วนทางด้านพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้มีแถลงการณ์หรือแสดงท่าทีใดๆอันเป็นการชี้นำไปสู่เป้าหมายของการระดมพลให้กำลังใจอดีตนายกฯหญิง เช่นเดียวกันกับฟากฝั่งของคนเสื้อแดงอันมีนปช.เป็นแกนนำ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะนัดหมายให้แนวร่วมเดินทางมาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองแต่อย่างใด แล้วเหตุใดข่าวคราวของมวลชนและวันที่ 25 สิงหาคมถึงถูกโหมกระพือในช่วงนี้

หรือเป็นเพราะในทางการข่าว การนิ่งสงบเช่นนี้เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวกว่าการพบเห็นการเคลื่อนไหวใดๆอย่างนั้นหรือ ซึ่งจะว่าไปแล้วภาพอันจะปรากฏที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองในวันพรุ่งนี้ เราน่าจะได้เห็นจำนวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะมากกว่าคนที่มาให้กำลังใจยิ่งลักษณ์เสียด้วยซ้ำไป ดังนั้น อาการที่แสดงออกของฝ่ายกุมอำนาจและขุมกำลัง จึงน่าจะเป็นการสะท้อนภาวะบางสิ่งบางอย่างที่ดำรงอยู่กับผู้มีอำนาจเสมอมาตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี

ที่ต้องยอมรับความจริงกันประการหนึ่งก็คือ ห้วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์นั้นได้หมดไปนานแล้ว เสียงเชียร์และแรงหนุนที่ได้ยินอยู่ทุกวันนี้ ก็มาจากบรรดาสารพัดโพลเชลียร์ มาจากคนพวกเดียวกันและหากเป็นประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจ อย่างที่รู้กันไม่ต้องปกปิดใดๆ ส่วนหนึ่งเกิดจากการจัดตั้ง เพียงแต่มาพึงพ.ศ.นี้จะมีความเนียนกันขึ้นมาเยอะ จากเดิมทีที่ต้องค่อยส่งสัญญาณให้ปรบมือ

ความจริงแล้วหากคนที่ก้าวมาเป็นผู้นำเข้าใจสัจธรรมแห่งอำนาจ ไม่ได้คิดซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่จะอยู่ในอำนาจให้ยาวนานกว่าสัญญาที่เคยประกาศไว้ ก็จะไม่ทุกข์ร้อนกับภาวะความเปลี่ยนแปลง เพราะมีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีอำนาจย่อมมีเวลาที่อำนาจจะเปลี่ยนแปลงและเสื่อมลง ยิ่งเป็นอำนาจที่ผูกโยงกับศรัทธาของประชาชนด้วยแล้ว มันเสื่อมจะเร็วกว่าอำนาจอื่นใด เรื่องเช่นนี้คนที่เป็นนักการเมืองต่างรู้กันดี

ขณะที่พื้นที่สื่อวันนี้ถูกยึดด้วยข่าววันสำคัญของยิ่งลักษณ์และความเคลื่อนไหวของท่านผู้นำพร้อมครม.สัญจร อีกด้านที่จังหวัดเชียงใหม่ก็มีคดีที่น่าสนใจในหมู่นักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศ นั่นก็คือการเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันชุมนุมมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ที่สภ.ช้างเผือก

อันเป็นผลมาจากที่ทั้ง 5 คน ร่วมกันติดแผ่นป้ายข้อความ“เวทีวิชาการ ไม่ใช่ค่ายทหาร”ที่ฝาผนังห้องประชุมศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ ในระหว่างการประชุมไทยศึกษาครั้งที่ 13 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 5 คนประกอบไปด้วย ชยันต์ วรรธนะภูติ ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคศึกษาด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ธีรมล บัวงาม นักศึกษาปริญญาโท คณะการสื่อสารมวลชน มช. และเป็นบรรณาธิการสำนักข่าวประชาธรรม ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักแปลและนักเขียนอิสระ ชัยพงษ์ สำเนียง นักศึกษาปริญญาเอกคณะสังคมศาสตร์ มช. และ นลธวัช มะชัย นักศึกษาปริญญาตรีคณะการสื่อสารมวลชน มช.  สิ่งที่น่าสนใจจากการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาครั้งนี้คือเงื่อนไขที่พนักงานสอบสวนยื่นให้ทั้ง 5 คนพิจารณา

นั่นก็คือ หากผู้ต้องหาทั้งห้าสมัครใจเข้ารับการอบรมจากเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน และเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยเห็นสมควรปล่อยตัว โดยอาจจะมีเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไขก็ได้ ให้ถือว่าคดีเลิกกัน ปรากฏว่าทั้ง 5 คนปฏิเสธที่จะเข้ารับการอบรม ให้การปฏิเสธข้อหา โดยจะยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายหลัง

สิ่งที่น่าขีดเส้นใต้คือคำกล่าวของชยันต์ ที่บอกกับเพื่อนๆ ทั้ง 4 คนที่ถูกฟ้องคดีด้วยกันว่า ข้อความเวทีวิชาการ ไม่ใช่ค่ายทหาร ไม่ได้มีนัยความหมายเป็นบวกหรือเป็นลบแต่อย่างใด ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อไปคำว่า แอปเปิ้ลไม่ใช่ส้ม ก็เป็นสิ่งที่พูดไม่ได้อีกต่อไป นี่ไม่ใช่การประชดประชันและไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะภายใต้อำนาจทุบโต๊ะนั้น สามารถสั่งการให้ทำอะไรก็ได้ตามที่ใจ (แป๊ะ) ต้องการ

มิเช่นนั้น ท่านผู้นำคงไม่เปรยกับชาวโคราชเรื่องการเตรียมออกกฎหมายห้ามมีกิ๊ก ที่ตอนหลังมายอมรับว่าแค่หยอดมุกไม่ให้ง่วง ซึ่งถ้าหากเป็นจริงก็ไม่รู้ว่าจะมีรูปแบบหน้าตาเป็นอย่างไร วิธีการบังคับใช้กฎหมายจนนำไปสู่การพิสูจน์ทราบเพื่อให้มีผู้ต้องรับผิดทางคดีตามกฎหมายนั้นจะทำอย่างไร ซึ่งก่อนที่จะไปบังคับใช้กับคนโดยทั่วไป ท่านผู้นำคงต้องทดลองใช้กับคนรอบตัวให้เป็นตัวอย่างก่อน (ฮา)

เห็นการดำเนินการกับฝ่ายเห็นต่างในช่วงนี้หลายๆ คดี ทำให้เกิดคำถามตัวโตขึ้นมา ถนนสายปรองดองที่ท่านผู้นำวาดฝันไว้นั้นมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่เปิดใจรับฟังความเห็นต่าง รับไม่ได้กับการวิจารณ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการและเหตุผล ถ้าใจไม่กว้าง ยอมรับฟังความจริงจากฝ่ายเห็นต่างไม่ได้ สิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็ไม่มีความหมาย เพราะเป็นเพียงแค่พิธีกรรมที่จะสร้างภาพทำให้อำนาจเผด็จการดูดีเท่านั้น เพราะความเป็นจริงทุกอย่างไม่ได้เป็นประชาธิปไตย 99.99 % เหมือนที่โพนทะนาแม้แต่น้อย

Back to top button