พาราสาวะถี
น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อยสำหรับคนในรัฐบาลและฝ่ายที่ดูงานด้านความมั่นคง ที่ช่วงนี้ถูกนักข่าวจี้ถามทุกวันเรื่อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดพ้ออย่ามาโทษรัฐบาลและคสช.และอย่ามาถามเรื่องนี้ทุกวัน ก็ วิษณุ เครืองาม ตีระฆังส่งสัญญาณชัดยิ่งรัฐบาลพูดยิ่งทำให้ขาดทุน ดังนั้น จึงต้องตีกรรเชียงกันไปเรื่อยๆ
อรชุน
น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อยสำหรับคนในรัฐบาลและฝ่ายที่ดูงานด้านความมั่นคง ที่ช่วงนี้ถูกนักข่าวจี้ถามทุกวันเรื่อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดพ้ออย่ามาโทษรัฐบาลและคสช.และอย่ามาถามเรื่องนี้ทุกวัน ก็ วิษณุ เครืองาม ตีระฆังส่งสัญญาณชัดยิ่งรัฐบาลพูดยิ่งทำให้ขาดทุน ดังนั้น จึงต้องตีกรรเชียงกันไปเรื่อยๆ
ส่วนที่ใครจะไปถามหาความรับผิดชอบจากผู้มีอำนาจนั้นบอกได้คำเดียวเลิกเสีย ขนาดแค่เสียงวิจารณ์หรือเสนอความเห็นต่างยังมีปัญหา แล้วจะขออะไรได้มากไปกว่านี้ เต็มที่ก็ปล่อยให้ฝ่ายการเมืองหรือนักวิชาการได้แสดงความคิดเห็นกันไป อย่างที่บอก กรณียิ่งลักษณ์ล่องหนคนที่เป็นเดือดเป็นแค้นก็น่าจะเป็นพวกเดียวกันกับผู้ที่ยึดอำนาจนั่นแหละ
จำกันได้การชัตดาวน์กรุงเทพฯเป้าหมายอยู่ที่การไล่ล่ายิ่งลักษณ์และตระกูลชินวัตร เมื่อมาถึงจุดไคลแมกซ์ที่จะต้องชี้ชะตากลับปล่อยให้หนีกันไปดื้อๆ โดยที่กองแช่งก็ไม่ตีโพยตีพาย ฝ่ายที่กวักมือเรียกคณะรัฐประหารก็ทำตัวเงียบกริบ ทั้งๆที่ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมาอดีตนายกฯหญิงถูกประกบติดแจ แล้วไฉนในห้วงแห่งเวลาสำคัญถึงอ้างได้ว่าไม่อยากให้ถูกมองเป็นการไม่ให้เกียรติหรือคุกคามกันเกินไป จึงไม่ได้ติดตาม
คำตอบของบิ๊กตู่ และ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกต่อเรื่องนี้ฟังแล้วดูดีแต่ถ้ามองถึงน้ำหนักความเป็นไปได้ พูดแบบไม่เกรงใจกันบอกได้แค่ว่าฟังไม่ขึ้น ส่วนเรื่องที่บอกว่า ทักษิณ ชินวัตร วางแผนเรื่องนี้ไว้อย่างแยบยลและมีเครื่องบินส่วนตัว จึงทำให้ง่ายต่อการหลบหนี ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะคงไม่ใช่ใช้เครื่องบินลำดังว่ามาบินอยู่เหนือหลังคาบ้านยิ่งลักษณ์แล้วรับตัวไปง่ายๆ
กว่าที่จะผ่านแนวชายแดนไทยเพื่อไปประเทศเพื่อนบ้าน จากบ้านพักซอยโยธินพัฒนา 3 ไปถึงจุดนั้น การข่าวมันไม่มีใครรู้ใครเห็นเชียวหรือ ไม่เพียงเท่านั้น เวลานี้ท่าทีที่ไปพาดพิงถึงประเทศอื่นยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังในส่วนของฝ่ายมีอำนาจ เพราะมันจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดีที่สุดคงต้องเลือกใช้วิธีปล่อยให้เรื่องนี้ค่อยๆซาไปเอง
ขณะที่วันก่อน พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพรามณกุล ถูกถามเรื่อง พันตำรวจเอกวิญญู วิทยผโลทัย นายตำรวจติดตามยิ่งลักษณ์อาจเป็นคนพาหนี ล่าสุดก็ได้รับการยืนยันจากรองผบ.ตร.แล้วว่า คนที่ถูกพาดพิงได้เข้าพบและให้ปากคำแล้ว คงต้องไปขยายผลกันต่อว่า สอบแล้วได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง แต่เท่าที่ดูบทสัมภาษณ์เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยก็น่าจะรู้สึกแปลกแปร่งเหมือนกัน
ประการแรกมีการอ้างเรื่อง ยิ่งลักษณ์ได้รับประกันตัวจากศาล หมายความศาลได้พิจารณาแล้วว่าไม่หลบหนี ไม่ไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิอาญาทั่วไป ดังนั้น ในส่วนของเจ้าหน้าที่ปกครอง ทหาร ตำรวจ จะไปก้าวล่วงมากก็คงไม่เหมาะ จะเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่มีการตามติดทุกย่างก้าวของอดีตนายกฯตั้งแต่หลังรัฐประหาร
ประการต่อมาที่บอกว่ายิ่งลักษณ์ไม่อยู่บ้าน ระหว่างที่เดินทางไป ขณะนั้นหมายจับยังไม่มี คนที่พาหนียังไม่เข้าข่ายการกระทำความผิด แต่ถ้าหลังจากออกหมายประกาศสืบจับ ถ้าตำรวจคนไหนพาหนีคนนั้นต้องโดนดำเนินคดี แหม!ต้องยอมรับในความแม่นเป๊ะในข้อกฎหมายของรองผบ.ตร.รายนี้จริงๆ อธิบายและตีความกันอย่างนี้บอกได้คำเดียวว่าศรีธนญชัยยังอาย
ความจริงเรื่องการหนีไปของยิ่งลักษณ์ ฟังความเห็นจาก ชำนาญ จันทร์เรือง น่าจะตรงประเด็นเป็นที่สุด ช่วงฝุ่นตลบดูเหมือนว่าหลายฝ่ายคิดว่า คสช.หมดสิ้นเสี้ยนหนามหรือหอกข้างแคร่ไปอีกหนึ่ง จะได้เดินตามโรดแมปอย่างสะดวกโยธินเสียที หากยิ่งลักษณ์เลือกที่จะติดคุก แน่นอนว่านอกเหนือจากกระแสความปั่นป่วนจากมวลชนที่จะเกิดขึ้นแล้ว ทุกวันที่หน้าเรือนจำที่คุมขังจะต้องมีผู้คนไปเยี่ยมหรือมารวมตัวให้กำลังใจกันไม่มากก็น้อย
ขณะเดียววัน สื่อมวลชนแขนงต่างๆก็จะต้องมีการรายงานข่าวความเป็นอยู่ของอดีตนายกฯหญิง ซึ่งจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับผู้มีอำนาจแน่นอน ขณะที่ฝ่ายกองแช่งยิ่งลักษณ์เห็นได้ชัดว่ายินดีกันจนออกนอกหน้า มีการเยาะเย้ยถากถางอย่างสนุกสนาน บางรายลืมตัวเลยเถิดไปจนเป็นการเหยียดเพศ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นถึงศิลปินแห่งชาติ จนถูกล่าชื่อถอดถอนจากตำแหน่งดังว่า
เมื่อถึงวันนี้ที่ฝุ่นค่อยๆ จางลง การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น หลายคนเริ่มกลับมาหวนคิดและเกิดคำถามว่าเหตุใดยิ่งลักษณ์จึงสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้อย่างลอยนวล ไหนว่าฝ่ายความมั่นคงคอยจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิดจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ฝ่ายหนุนคณะรัฐประหารเริ่มรู้สึกว่าถูกหักหลังเพราะเกิดความสงสัยว่า คสช.เกี้ยเซี้ยกับยิ่งลักษณ์และทักษิณเสียแล้ว
ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนระบอบทักษิณ โดยเฉพาะที่เชียร์ยิ่งลักษณ์จากที่หดหู ท้อแท้ เพราะอดีตนายกฯหญิงไม่ได้เดินทางมาศาลทั้งที่ก่อนหน้านั้นพูดอยู่เสมอว่าพร้อมที่จะติดคุก แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเพราะแม้แต่จะติดคุกก็ยังไม่ได้เชียวหรือ ฤาว่ามีการข่มขู่เอาชีวิตแม้ว่าจะยอมติดคุกก็ตาม จึงเกิดความรู้สึกว่าฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะมาถึงแล้ว
มุมของชำนาญเห็นว่า จากที่บางคนมองว่าจะเป็นการวิน-วินทุกฝ่ายนั้นไม่ใช่เสียแล้ว กลับกลายเป็นการพ่ายแพ้ของทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ฝ่ายรัฐประหารและผู้สนับสนุนก็พ่ายแพ้เพราะ นอกจากจะเกิดความหวาดระแวงและลดทอนความไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว คสช.ทำอย่างไรก็ไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายที่ไม่เอารัฐประหาร
การปรองดองตามที่ประกาศไว้ก็ไม่เกิดขึ้น มีแต่จะแตกแยกร้าวลึก ฝ่ายที่เรียกตนเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็กลับมาขัดแย้งขบกัดกันเอง ดังที่เห็นได้ทั่วไปในโซเชียลมีเดีย ซึ่งยิ่งทำให้กระแสประชาธิปไตยอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ซึ่งมันจะเป็นอย่างที่นักวิชาการรายนี้กังวลหรือไม่ต้องคอยดี กับข้อห่วงใยที่ว่าหลังการหายไปของยิ่งลักษณ์จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการเมืองไทย และเป็นจุดเปลี่ยนที่ยากจะหวนกลับ เพราะมันได้จมดิ่งลงไปยังก้นเหวที่ลึกมากเกินกว่าจะเยียวยาได้ บางทีในชั่วชีวิตนี้เราอาจจะไม่ได้เห็นเลยเสียด้วยซ้ำ