พาราสาวะถี
ยิ่งนานวัน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังไม่โผล่ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ตอบไม่ได้เต็มปากเต็มคำว่าหนีไปต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการยักแย่ยักยันเรื่องความชัดเจน คงไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อฝ่ายกุมอำนาจอย่างแน่นอน กับคำถามที่เกิดขึ้นมาทันทีที่อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงไม่เดินทางไปศาล เป็นการสมยอมเปิดทางให้หนีใช่หรือไม่ เผือกร้อนแบบนี้ถามว่าผู้มีอำนาจรายได้จะกล้าสวมหัวใจสิงห์มายอมรับอย่างนั้นหรือ
อรชุน
ยิ่งนานวัน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังไม่โผล่ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ตอบไม่ได้เต็มปากเต็มคำว่าหนีไปต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการยักแย่ยักยันเรื่องความชัดเจน คงไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อฝ่ายกุมอำนาจอย่างแน่นอน กับคำถามที่เกิดขึ้นมาทันทีที่อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงไม่เดินทางไปศาล เป็นการสมยอมเปิดทางให้หนีใช่หรือไม่ เผือกร้อนแบบนี้ถามว่าผู้มีอำนาจรายได้จะกล้าสวมหัวใจสิงห์มายอมรับอย่างนั้นหรือ
ปัญหาก็คือ กระแสข่าวที่ออกมาเป็นการพาดพิงไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาว่าเป็นสถานที่ซึ่งยิ่งลักษณ์ไปขึ้นเครื่องบินส่วนตัวเพื่อไปต่อประเทศที่สาม ล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศเขมรก็อ้างคำพูดของสมเด็จฮุน เซน ว่า ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ใช้กัมพูชาในการหลบหนี แต่ก็มีการทิ้งปมให้เป็นภาระของรัฐบาลไทยว่า“เธอใช้เส้นทางอื่น”
เหตุที่บอกว่าเป็นภาระของรัฐบาลไทย เพราะในเมื่อผู้มีอำนาจยังไม่สามารถที่จะสร้างความกระจ่างใดๆได้ แล้วทำไมทางการข่าวของกัมพูชาจึงบอกว่ายิ่งลักษณ์ใช้เส้นทางอื่นในการหลบหนี ถ้าฝ่ายความมั่นคงของเพื่อนบ้านรู้แต่ฝ่ายความมั่นคงของไทยซึ่งจับตาทุกกลุ่มโดยเฉพาะอดีตนายกฯอย่างเข้มข้นไม่รู้ มันดูจะเป็นการปฏิเสธที่ไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย
แต่ก็อีกนั่นแหละ เมื่อมีคำพูดในทำนองวิน-วินทุกฝ่าย ยิ่งพูดไปรัฐบาลยิ่งขาดทุน ก็น่าจะเป็นการการันตีไปในตัวแล้วว่า งานนี้ไม่ใช่การวางแผนหนีและสับขาหลอกทั้งผู้มีอำนาจและกองเชียร์แบบเหนือเมฆของ ทักษิณ ชินวัตร อย่างแน่นอน ใครจะเชื่อว่าในยุคอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างนี้ นักโทษในคดีที่สำคัญซึ่งถูกจับตามองจากทั้งโลกจะหลบลี้หนีหายไปได้อย่างง่ายดาย
การจะรอให้ฝ่ายรัฐออกมาพูดให้เกิดความกระจ่างคงเป็นเรื่องยาก มีเพียงอย่างเดียวคือการรอให้ยิ่งลักษณ์ปรากฎกายแล้วก็ชี้แจงแถลงไขต่อการหลบหนีในครั้งนี้เท่านั้น แต่เชื่อว่าถ้าลองได้เดินตามเกมแบบนี้แล้ว การปล่อยให้ทุกอย่างยังคงเป็นเครื่องหมายคำถาม น่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายตัวเองมากกว่า อย่างน้อยการคาราคาซัง ถือเป็นการทำให้คนโดยเฉพาะฝ่ายสนับสนุนยังคงแสดงความเป็นห่วงและให้กำลังใจกันต่อไป
ต้องไม่ลืมว่าทันทีที่ยิ่งลักษณ์ไม่ไปศาล ในแง่ของกองเชียร์ก็เกิดความเห็นเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งคือเห็นดีเห็นงามและสนับสนุนให้อดีตนายกฯหญิงใช้วิธีการเช่นนี้ เพราะมองเห็นโอกาสรอดแล้วเป็นไปได้ยาก ขณะที่อีกด้านก็อยากให้มาสู้คดีถึงที่สุด แม้จะต้องถูกดำเนินคดีถึงขั้นติดคุกติดตะรางแต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้ต่อสู้เยี่ยงวีรสตรีและจะเป็นที่ได้ใจของฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่เอารัฐประหาร
แต่นั่นอาจเป็นเรื่องของความนิยมชมชอบส่วนตัว ถ้ามองภาพรวมการอยู่หรือไปของยิ่งลักษณ์อันจะส่งผลต่อพรรคเพื่อไทยโดยตรง จุดนี้มีความน่าสนใจมากกว่า น่าคิดอย่างที่ สุขุม นวลสกุล มองว่าการไม่มี ทักษิณและยิ่งลักษณ์ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้พรรคนายใหญ่อ่อนแอลงในทันทีทันใด เพราะสิ่งที่มองไปไกลกว่านั้นคือ คนตระกูลชินวัตรทิ้งพรรคแล้วหรือยัง
หากทักษิณยังไม่ทิ้ง ยิ่งลักษณ์อาจต้องถอยตัวเองไปให้พ้นจากถนนสายการเมืองในช่วงนี้ ความเข้มแข็งอาจจะยังคงมีอยู่ เพียงแต่ว่าจะต้องสรรหาตัวบุคคลที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำ แน่นอนว่าในยุคพรรคพลังประชาชนภายใต้การนำของ สมัคร สุนทรเวช ถือเป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า แม้จะไม่มีคนตระกูลชินวัตรมาถือธงนำ ก็พรรคการเมืองภายใต้การกุมบังเหียนของนายใหญ่ก็ยังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
แน่นอนว่า ประเด็นนี้กองเชียร์อำนาจเผด็จการอาจจะเถียงว่า เพราะครั้งนั้นเป็นการยึดอำนาจที่เสียของ แต่มาหนนี้มีการสร้างผนังทองแดงกำแพงเหล็ก เพื่อตีกันไม่ให้คนตระกูลชินวัตรและพรรคนอมินีเข้ามายิ่งใหญ่ในเส้นทางปกครองประเทศอีก จึงมองไม่เห็นว่า แม้ทักษิณจะยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่ แล้วจะกลับมาได้เหมือนเดิมอย่างไร
ต้องไม่ลืมว่า ถนนสายการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าทักษิณและชาวคณะ จะกลับมาอยู่ในอำนาจได้ต่อไปอีกหรือไม่ หากแต่เป็นไปในทิศทางที่ว่า ผู้มีอำนาจปัจจุบันที่ประสงค์จะคงสืบทอดอำนาจต่อไปไม่รู้ว่าจะยาวนานเท่าไหร่นั้น จะสามารถยืนระยะใช้เกราะความเป็นคนดี ต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นเครื่องมือในการสร้างคะแนนนิยมได้อีกนานแค่ไหน
ไม่เพียงเท่านั้น ในทางการเมืองเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร จะมีใครตอบได้ว่า กลุ่มอำนาจในปัจจุบันจะรักกลมเกลียวกันไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย รวมไปถึงเครือข่ายทั้งหลายที่สนับสนุนระบบของคณะเผด็จการจะยังคงสามัคคีกันเพื่อสู้กับพรรคเพื่อไทยอย่างที่เป็นอยู่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมาหรือไม่
โปรดอย่าลืมเป็นอันขาดว่าธรรมชาติของคนยามที่มีศัตรูคนเดียวกันแล้ว ย่อมที่จะรวมหัวกันเพื่อห้ำหั่นให้ได้ชัยชนะเหนือคนเกลียดชังนั้น แต่หลังจากที่ประสบชัยชนะแล้วเข้าสู่ภาวะที่อยากจะให้เป็นแล้ว มักจะหันมารบกันเอง โดยมีเป้าหมายเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ในยามที่ประสานกันไม่ลงตัว นั่นย่อมหมายถึงความขัดแย้งที่จะตามมา ขึ้นอยู่กับว่าจะหนักหน่วงรุนแรงหรือไม่เท่านั้นเอง
อีกประการที่สุขุมพูดไว้ชวนให้คิดคือ สถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้เป็นอย่างที่เห็น ไม่ราบเรียบแต่ก็ไม่รุนแรง แต่การวางแผนจะอยู่ยาวนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเหตุการณ์ในอนาคตไม่มีใครทำนายหรือวางแผนได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร เพราะท้ายที่สุดหากมีเรื่องที่มาจุดชนวนได้ ต่อให้เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยก็สามารถนำไปสู่การขยายผลให้ลุกลามใหญ่โตได้
ทั้งหมดทั้งมวลมันคงขึ้นอยู่กับความรัดกุมของฝ่ายกุมอำนาจ การ์ดตกเมื่อไหร่มีโอกาสที่จะถูกสอยร่วมได้ทุกเมื่อเช่นกัน เช่นเดียวกับกรณีของยิ่งลักษณ์แม้ไม่มียิ่งลักษณ์ที่ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของฝ่ายประชาธิปไตยที่สู้กับอำนาจเผด็จการ แต่อย่าลืมว่ายังมีจุดอื่นที่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นธรรมดาของสังคมที่จะต้องมีกลุ่มที่ไม่พอใจระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ต้องขีดเส้นใต้คือ ไม่มีคำว่าสงบตลอดไป ไม่มีคำว่าสงบราบคาบ ทุกอย่างล้วนแต่ตั้งอยู่ดับไปทั้งสิ้น