EARTH กินขี้หมาดีกว่าค้าความ

จู่ๆ เรื่องราวของการฟ้องร้องเป็นคดี "ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์" ที่ฝ่ายโจทย์คือ เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH และจำเลยคือ ธนาคารธนชาต ที่ทำท่าจะบานปลายเพราะฝ่ายจำเลยตั้งป้อมสู้ชนิด "การ์ดสูง" กว่าปกติ... ก็จบลงเหมือนละครสำนักรัสเซียดื้อๆ เสียอย่างนั้น 


แฉทุกวันทันเกมหุ้น

จู่ๆ เรื่องราวของการฟ้องร้องเป็นคดี “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ที่ฝ่ายโจทย์คือ เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH และจำเลยคือ ธนาคารธนชาต ที่ทำท่าจะบานปลายเพราะฝ่ายจำเลยตั้งป้อมสู้ชนิด “การ์ดสูง” กว่าปกติ… ก็จบลงเหมือนละครสำนักรัสเซียดื้อๆ เสียอย่างนั้น

ผู้บริหารของ EARTH แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเช้าวันศุกร์ว่า ตามที่บริษัทฯ ได้ยื่นฟ้องสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง บัดนี้ บริษัทฯ ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมและได้รับการยืนยันจากสถาบันการเงินแห่งนั้นว่าไม่ได้นำข้อมูลของบริษัทไปเปิดเผยต่อสถาบันการเงินอื่นแต่อย่างใด

ดังนั้นเมื่อบริษัทได้รับทราบข้อเท็จจริงและเป็นที่เข้าใจอันดีด้วยกันแล้ว บริษัทฯ จึงได้ยื่นขอถอนฟ้องต่อศาล ตามคดีหมายเลขดำที่ พ.1552/2560 แล้ว

ไม่แค่นั้น นายขจรพงศ์ คำดี ประธานกรรมการบริหาร ของ EARTH ยังขมวดท้ายข่าวว่า กล่าวว่า บริษัท “มีความเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพมีมาตรฐานการให้บริการธนาคารธนชาตและจะยังคงฝากเงินไว้กับธนาคารธนชาตต่อไป”

ในทางตรงข้าม ฝ่าย (ว่าที่) จำเลย อย่างนายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต กล่าวว่า ยินดีที่เรื่องนี้ยุติลงด้วยความเข้าใจอันดีทั้งสองฝ่าย ซึ่งธนชาตในฐานะสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศยืนยันว่าธนาคารคือมืออาชีพโปร่งใส และพร้อมในการส่งมอบบริการที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้าอย่างที่เคยเป็นเสมอมา ทั้งนี้ทางธนาคารธนชาตยืนยันว่าไม่ได้นำข้อมูลของ EARTH ไปเปิดเผยต่อสถาบันการเงินอื่นแต่อย่างใด

เอวัง….ยิ่งกว่าหนังขายยา

จบลงง่ายเกินคาด จะไม่ให้บรรดากองเชียร์ “ฮาร์ดคอร์” ทั้งหลายพากันผิดหวัง ก็คงเป็นไปได้ยาก

คอมเมนต์ หรือ เมาต์เมนต์.. จึงมีปะปนออกมาว่างานนี้ … ปาหี่ แหงแก๋

ส่วนใครจะปาหี่ ไม่ทราบ เพราะไม่มีใครอยากระบุ ด้วยความกลัวมาตรา 116 กม.คอมพิวเตอร์… ตามสูตร (เตี๋ยว)

สถานการณ์พลิกแบบ “เอาหัวเดินต่างเท้า” หรือเรียกให้ไพเราะเพราะพริ้งต้องว่า conspiracy เช่นนี้ เข้าใจได้ เพราะแม้ว่าเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางผู้บริหาร EARTH จะกล่าวหาว่า ธนาคารธนชาตแอบบอกข้อมูลเรื่องเงินฝากของ EARTH จำนวน 800 ล้านบาท ที่กำลังจะโอนไปต่างประเทศไป “กระซิบอย่างไม่เป็นทางการ” ให้ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน)หรือ KTB ทำให้ KTB ร้องศาลให้อายัดเงินฝากดังกล่าว

ปรากฏการณ์ดังกล่าว  EARTH ระบุว่าต้องตัดสินใจฟ้องร้องดำเนินคดีข้อหาละเมิดต่อธนาคารธนชาตเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากธนาคารธนชาตได้นำข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินของบริษัทไปเปิดเผยต่อธนาคารกรุงไทย (KTB) จนเป็นเหตุให้ KTB ยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขออายัดเงินของ EARTH ที่อยู่ในบัญชีเงินฝากของธนาคารธนชาต

ทางด้านผู้บริหารธนาคารธนชาต ก็ออกมาตอบโต้ ยืนกรานว่าไม่เคยทำผิดกติกาอะไรเลย และว่าจะฟ้องกลับ

เรื่องมันให้บังเอิญ… ที่คำฟ้องของ EARTH ยังไม่มีผลสำเร็จ เพราะเหตุว่าเกิดข้อผิดพลาดทางเทคนิค เนื่องจาก EARTH ไม่มีเงินสดค้ำประกันการฟ้องร้อง (ประมาณ 50 ล้านบาทเศษ) … เป็นเรื่องโอละพ่อมาแล้ว

เรื่องยังไม่จบ เพราะข้อกล่าวหาของ EARTH กระทบต่อมคุณธรรมของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยเต็มๆ ทำให้มีคำสั่งเรียกให้ชี้แจงกัน เพราะเรื่องอย่างนี้เข้าข่าย ธรรมาภิบาลบกพร่อง

เรื่องเงียบแต่ไม่จบ ไปพักใหญ่ หลายคนเชื่อว่าเสี่ยขจรพงศ์ กับพวกคง “หมดน้ำยาสู้” แล้วแน่นอน ชนิดไร้ราคาต่อรอง… เซียนกลัวอยู่รู หมูกลัวอยู่ตึก

แล้ววันที่ 31 สิงหาคม ทางด้านEARTH ก็แจ้งต่อตลาดฯ อีกครั้งว่า ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่ง ตามคดีหมายเลขดำที่ ฟ.27/2560 ลงวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่อายัดเงินฝากของบริษัท ในบัญชีของสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง และหรือบัญชีอื่นในคดีหมายเลขดำที่ กค 129/2560 และที่ กค 131/2560 แล้ว

นอกจากนั้นยังมีคำสั่งเพิ่มเติมว่า ศาลล้มละลายกลางได้อนุญาตให้บริษัทสามารถชำระค่าใช้จ่ายที่จำเป็น หลังจากยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของบริษัทสามารถดำเนินต่อไปได้ในระหว่างการพิจารณาคดีขอฟื้นฟูกิจการ

พูดแบบแปลไทยเป็นไทย…ให้ง่ายคือ ศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้เอาเงินฝาก 800 ล้านบาท ที่ EARTH มีไว้กับธนาคารธนชาต… แต่มีเงื่อนไขว่าให้ขอต่อศาลเอาเงินนั้นมาใช้เป็นครั้งๆ ไป ไม่ใช่โอนออกไปเที่ยวเล่นตามใจชอบ

ถือว่าเป็นเงื่อนไขกำกับที่ให้ใช้เงิน “ที่จำเป็น” เท่านั้น

ความต่อเนื่องของปรากฏการณ์ถอนฟ้องเรียก 60,000 ล้านบาท ของ EARTH แล้วยังคงใช้เงินฝากไว้ที่ธนาคารธนชาตต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงเป็นไป “แบบหยวนๆ” … ต่างจาก “แบบเบิร์ดๆ” ที่คนภายนอกคุ้นเคย ถือว่าเป็นการจบลงแบบวิน-วิน 

เหตุผลแรกสุด ทางด้าน EARTH ก็ไม่ต้องเผชิญ “ศึกหลายด้าน” ที่ยังไม่รู้ว่าจะชนะหรือแพ้ เพราะลำพังแค่กรณีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ถูกระงับการใช้วงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินทุกแห่งที่บริษัทใช้อยู่กะทันหัน ได้ส่งผลกระทบต่อ 1) ความน่าเชื่อถือในการประกอบธุรกิจของบริษัท และส่งผลให้การประกอบธุรกิจของบริษัทมีการชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ 2) ทำให้คู่ค้าของบริษัทหลายรายได้เริ่มดำเนินการใช้บรรดาสิทธิเรียกร้องต่อบริษัทเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีการเรียกร้องบรรดาค่าเสียหายอื่นๆ  จากบรรดาคู่ค้าของบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของบริษัท…. ก็ชีช้ำกะหล่ำปลีมากเกินจะพอแล้ว

แถมยังรอผลการสอบบัญชีพิเศษ ตามคำสั่งของ ก.ล.ต. ที่น่าจะรู้ผลลัพธ์ในเดือนกันยายนนี้อีก .. นี่ก็ไม่รู้ว่าจะหมู่หรือจ่า

ในทางกลับกัน คู่กรณีอย่างธนาคารธนชาต ก็ไม่ต้องวุ่นวายแก้ตัวกับแบงก์ชาติที่อาจจะเข้ามา “ตรวจเข้ม” กับพฤติกรรมในการปฏิบัติกับลูกค้า…ซึ่งก็คาดเดายากว่าจะเจออะไรที่อาจหมกไว้ใต้พรมบ้าง

สรุปงานนี้ เข้าสูตรภาษิตจีนโบราณ “กินขี้หมา ดีกว่าค้าความ” ไม่มีผิดเพี้ยน

หลายคนอาจจะสงสัยว่าเรื่องอย่างนี้คล้ายกับคำพังเพยไทยเก่าๆ “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” รึป่าว

ตอบได้ทันทีเพราะ บางเรื่องเช่นฆราวาสทะเลาะกับพระ หากพระแพ้ ก็ยังเป็นพระอยู่ดี ไม่มีทางเป็นมาร (ยกเว้นบางรายอาจกลายเป็น สมี)

ภาษิตจีน (ซึ่งไม่น่าจะมาจากขงจื่อ) เรื่อง “กินขี้หมาดีกว่าค้าความ” ฝังหัวลูกหลานคนจีนทั่วไปมายาวนานนับพันปีแล้ว ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อศาลยุติธรรมหรือท่าน เปา เทียนกง แต่เพราะการพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเป็นคดีความกับใครๆ เป็น “อัปมงคล” ที่ไม่เป็นผลดีแก่ตน ทำให้ต้องปวดหัวคิดมาก ร่างกายผ่ายผอม นอนไม่หลับ นอกจากนั้น ย่อมต้องเสียทรัพย์ทั้งฝ่ายที่เป็นโจทก์และฝ่ายที่เป็นจำเลย คนที่จะได้ทรัพย์ก็คือผู้พิพากษา อัยการหรือทนายความ ในรูปแบบต่างๆ

ที่สำคัญ ทำให้ละเมิดหลักการทำธุรกิจที่ว่า “มีมิตร ดีกว่ามีศัตรู”

ว่าไปแล้ว ไม่ใช่แค่คนจีนเท่านั้น แม้ในพุทธศาสนานิกายเถรวาทก็มีคำสอนเอาไว้ในนิทานชาดกเรื่อง ทัพพปุปผชาดก ที่เล่าว่า มีนาก 2 ตัว เป็นเพื่อนกัน แล้วทะเลาะกันเพราะแย่งปลา จนเสียท่าสุนัขจิ้งจอก… ทำนองนิทานไทยเรื่อง ตาอิน ตานา และตาอยู่ นั่นแหละ

การกลืนน้ำลายที่ถ่อหรือสำรอกออกมาจากปาก ในสไตล์ “จิวยี่” ของทั้งผู้บริหาร EARTH ที่ถูกต้อง…แต่ขัดใจฮาร์ดคอร์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่จริง หรือสมคบคิด

ปัญหาว่า จะใช้มุมมองไหนเท่านั้นเอง

เพราะไม่ว่าจะใช้มุมไหนมอง EARTH และผู้ถือหุ้น ก็ยังต้องเผชิญวิบากกรรมแสนเข็ญกับภาวะ “เทวดาตกสวรรค์” อีกนานหลายเดือน …หรือหลายขนาน

อิ อิ อิ

 

Back to top button