พาราสาวะถี
ใกล้เข้ามาทุกขณะกับการแกะรอย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนีไปไหน หนีได้อย่างไร ใครพาหนี เมื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมายืนยันล่าสุดว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่คืบหน้าไปมาก ถึงขั้นพบรถคันที่พาหนีผ่านด่านทหารที่จังหวัดสระแก้ว สิ่งที่ถามตามมาคือ รถคันดังกล่าวผ่านด่านทหารไปได้อย่างไร และถือเป็นการหนีที่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย
อรชุน
ใกล้เข้ามาทุกขณะกับการแกะรอย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนีไปไหน หนีได้อย่างไร ใครพาหนี เมื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมายืนยันล่าสุดว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่คืบหน้าไปมาก ถึงขั้นพบรถคันที่พาหนีผ่านด่านทหารที่จังหวัดสระแก้ว สิ่งที่ถามตามมาคือ รถคันดังกล่าวผ่านด่านทหารไปได้อย่างไร และถือเป็นการหนีที่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย
เพราะเป็นการทิ้งหลักฐานไว้ให้ตรวจสอบได้ แต่ที่จะถามต่อไปคือ เจอรถที่ด่านทหารแล้วไม่ได้มีการตรวจค้นกันหรืออย่างไร เหตุที่อ้างว่าจะค้นเฉพาะรถต้องสงสัยในช่วงขาออกน้ำหนักยังดูน้อย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดเมื่อมีคำว่าด่านทหารและจะต้องวิ่งจากกรุงเทพฯไปสระแก้ว ในห้วงเวลาที่มีการเข้มงวดเรื่องคนที่จะเข้ามาให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ ยิ่งเกิดปุจฉาตัวโตว่าแล้วปล่อยผ่านกันไปได้อย่างไร
ตัวละครที่บอกว่าเป็นคนขับรถจึงน่าสนใจ จะมีการเปิดเผยตัวให้สังคมรับรู้หรือเปล่าว่าเป็นใคร เพราะมันน่าจะอธิบายเรื่องราวอันเกี่ยวข้องกับการวางแผนหนีได้เป็นอย่างดี แต่ที่งุนงงมากกว่าคงเป็นการไม่รู้ข่าวเรื่องรถยิ่งลักษณ์ของ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรงนี้ต้องขีดเส้นใต้ แน่นอนว่าการเร่งรัดอยากให้จบของรองนายกฝ่ายความมั่นคงนั้น คงจะเข้าใจสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีว่า ยิ่งนานวันหากยังไร้คำตอบเรื่องยิ่งลักษณ์ ผลเสียมันตกอยู่กับรัฐบาลทั้งขึ้นทั้งล่อง
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ฝ่ายคสช.กำลังง่วนอยู่กับการหาคำมาอธิบายให้สังคมเข้าใจและตอบคำถามให้ได้ว่ายิ่งลักษณ์หายไปไหน การออกแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้รัฐบาลและคสช.ยุติการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ก็มีประเด็นชวนให้คิดกันอยู่ไม่น้อย มองได้แค่ 2 กรณีคือ หาเหตุสร้างความชอบธรรมให้กับยิ่งลักษณ์ในการขอลี้ภัย หรือ ปกป้อง พานทองแท้ ชินวัตร ที่กำลังจะถูกดำเนินคดีอยู่เวลานี้
หากเป็นเพื่อประโยชน์ของยิ่งลักษณ์นั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร แต่ถ้าเป็นเพื่อลูกโอ๊ค ตรงนี้น่าสนใจไม่น้อย เพราะกรณีพานทองแท้ถูกดำเนินคดีข้อหาฟอกเงินคดีธนาคารกรุงไทย โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอได้มีการลงมติและรอเวลาแจ้งข้อหาอย่างเป็นทางการนั้น มีผลต่ออารมณ์ของคนในสังคมอยู่ไม่น้อย
ฝ่ายกองแช่งก็ออกมาสมน้ำหน้าและสะใจต่อการล้างบางคนตระกูลชินวัตร แต่ฝ่ายกองเชียร์ก็จะเกิดคำถามเหมือนอย่างแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย นี่เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเล่นงานฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับผู้มีอำนาจหรือไม่ ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร อ้างเรื่องของการปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่อย่าลืมว่า มาตรา 44 นั้นยิ่งใหญ่เหนือกฎหมายทั้งปวง
มองท่วงทำนองของผู้มีอำนาจผนวกเข้ากับท่าทีของฝ่ายต้านระบอบทักษิณ สังคมไทยวันนี้กับอนาคตเรื่องการปรองดองรู้สึกวังเวง เพราะขนาดสถาบันพระปกเกล้าจัดทำโพลถามถึงคะแนนนิยมต่ออดีตนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2545-2560 ปรากฏว่า ทักษิณ ชินวัตร มีคะแนนเหนือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้นแหละ ทำเอากองเชียร์คณะรัฐประหารถึงกับจะเป็นจะตายให้ได้
บางคนถึงขั้นตั้งคำถามไปยังสถาบันพระปกเกล้าว่าสิ่งที่ทำใช่หน้าที่หรือเปล่า ถึงขั้นขู่จะปฏิรูปกันเลยทีเดียว ร้อนถึง วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าต้องออกมาชี้แจงว่า อย่านำเอากรณีของทักษิณกับพลเอกประยุทธ์ไปเทียบเคียงกัน ซึ่งความจริงมันก็ควรเป็นเช่นนั้น แต่ที่ไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่คงเป็นการโทษว่าสื่อนั่นแหละตัวดีที่เอาประเด็นเช่นนี้ไปขยายผล
ความจริงอีกประการห้วงระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับกันว่าทักษิณนั้นถือเป็นผู้นำที่โดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ว่าเมื่อพอมีสถาบันใดในประเทศทะเล่อทะล่าไปยกย่องเชิดชู จะต้องตกเป็นจำเลยของสังคม(คนดี)ในทันทีทันใด ด้วยเหตุนี้นี่ไงที่ทำให้กระบวนการยกร่างกฎหมายและเส้นทางที่จะนำไปสู่ถนนสายเลือกตั้งจึงต้องคดเคี้ยว ซ่อนเงื่อนกันจนมองไม่เป็นว่ามันเป็นประชาธิปไตยแบบไหนกัน
จากเดิมทีที่เข้าใจกันว่าสาเหตุของการเลื่อนเลือกตั้งออกไปไกลกว่าปี 2561 น่าจะมาจากการร่างกฎหมายลูกที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ แต่เริ่มจะมีการตั้งข้อสังเกตไปไกลกว่านั้น หากมีการคว่ำร่างกฎหมายฉบับหนึ่งฉบับใดในชั้นสนช.ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การเลือกตั้งต้องล่าช้าออกไปได้เช่นเดียวกัน พอเป็นเช่นนี้ดูเหมือนว่า พรรคการเมืองอย่างประชาธิปัตย์ชักจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่
หลังที่ก่อนหน้านั้นไม่ได้อินังขังขอบต่อโรดแมปของการเลือกตั้ง มีแต่คนของพรรคเพื่อไทยและพรรคการเมืองอื่นที่ทวงถามและเรียกร้องขอความชัดเจนเรื่องเงื่อนเวลาการเลือกตั้ง แต่ล่าสุด หลังเกิดข่าวล้มกฎหมายลูก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงกับออกโรง เพราะคำสัมภาษณ์ของบางคนเท่านั้นที่ทำให้ถูกตีความไปในแนวทางดังว่า
พร้อมบอกอีกว่า ปฏิทินการออกกฎหมายลูกมีความชัดเจนอยู่แล้วจะมีช่องโหว่เพียงอย่างเดียวคือ กรณีที่สนช.ไม่เห็นชอบกับกฎหมายลูก ซึ่งเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของแม่น้ำ 5 สายที่ต้องเดินตามปฏิทินที่ตัวเองประกาศไว้ ถ้าไม่ทำจะเกิดผลกระทบถึงความเชื่อมั่นจากภายนอกและแรงกดดันจากภายในด้วย จึงไม่คิดว่าจะเกิดปัญหาเรื่องการออกกฎหมายลูกไม่ทัน
มั่นใจว่าทุกฝ่ายต้องการให้ทุกอย่างเดินไปด้วยความราบรื่น เรียบร้อย ใครคิดทำเงื่อนไขให้ผิดเพี้ยน เบี่ยงเบนไป จะเป็นการสร้างปัญหาให้กับประเทศและความขัดแย้งจะรุนแรง จนกลับไปสู่วังวนเดิมของความขัดแย้งทางการเมือง น่าสนใจว่า ความขัดแย้งในมุมของหัวหน้าพรรคการเมืองเก่าแก่มันจะเกิดขึ้นด้วยวิธีการใด
หรือแท้ที่จริงหัวหน้าพรรคเก่าแก่และสมุนทั้งหลาย ก็เข้าใจมาโดยตลอดว่าวิกฤติที่มีส่วนร่วมสร้างขึ้นจนนำมาซึ่งการรัฐประหารนั้น เมื่อมันไม่ได้แก้ไขด้วยวิธีการที่ควรจะเป็น มันจึงกลายเป็นการถลำลึกและแก้ไขไปคนละทิศละทาง เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงหมายความว่าวิกฤติที่แท้จริงไม่ได้รับการแก้ไข เหตุที่สงบนิ่งเพราะถูกกดทับด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่หลังจากที่อำนาจดังกล่าวเสื่อมความขลังไปแล้ว ระเบิดเวลาที่ถูกซุกไว้มันจะตูมตามขึ้นมาทันทีทันใด อย่างนี้จะเรียกว่ารู้สึกตัวเมื่อสายได้หรือเปล่า