พาราสาวะถี
หากการบังคับใช้กฎหมายยังคงเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ อย่างที่ย้ำมาโดยตลอดการปรองดองเกิดขึ้นยาก วันนี้ตามกำหนดการ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.นัดแถลงข่าวชี้แจงแนวทางในการที่จะยื่นทวงถามขอความยุติธรรมจากกรณีป.ป.ช.ยกคำร้องไม่ดำเนินการไต่สวนเพื่อเอาผิด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่สั่งให้มีการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 จนเป็นเหตุให้มีคนตาย 99 ศพบาดเจ็บกว่า 2 พันคน
อรชุน
หากการบังคับใช้กฎหมายยังคงเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ อย่างที่ย้ำมาโดยตลอดการปรองดองเกิดขึ้นยาก วันนี้ตามกำหนดการ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.นัดแถลงข่าวชี้แจงแนวทางในการที่จะยื่นทวงถามขอความยุติธรรมจากกรณีป.ป.ช.ยกคำร้องไม่ดำเนินการไต่สวนเพื่อเอาผิด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่สั่งให้มีการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 จนเป็นเหตุให้มีคนตาย 99 ศพบาดเจ็บกว่า 2 พันคน
เหตุที่ต้องดำเนินการเช่นนั้น เนื่องจากฝ่ายนปช.เห็นว่ากรณีของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ พร้อมพวกที่ป.ป.ช.ลงทุนควักกระเป๋าจ้างทนายจากสภาทนายความฟ้องเอง หลังจากที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จากการสลายการชุมนุมของระบอบสนธิ-จำลองหน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยณัฐวุฒิเห็นว่า จากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองที่ยกฟ้องสมชายและคณะ ก็ระบุว่าการชุมนุมของกลุ่มเสื้อเหลืองไม่ได้เป็นไปด้วยความสงบและตามหลักสากล
อันเป็นเหตุผลเดียวกับที่ป.ป.ช.ใช้เป็นเหตุยกคำร้องในคดีการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ไฉนจุดจบของคดีจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่กับสถานการณ์ปัจจุบันกลับพบว่าคสช.โดย พันเอกปิยะพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคสช.รีบออกมาแตะเบรกขอร้องแกมบังคับไม่ให้ณัฐวุฒิแถลงข่าวเรียกร้องความเป็นธรรมดังกล่าว
โดยอ้างเหตุผลสารพัดทั้ง ถามก่อนว่าการแถลงข่าวดังกล่าวถือเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่ ถ้าเข้าข่ายเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง คสช.ต้องขอร้องและขอความร่วมมือว่าอย่าเพิ่งทำเรายังไม่อนุญาตให้ดำเนินการได้ในช่วงนี้ เพราะยังมีงานสำคัญของชาติรออยู่หลายประการ หากถึงเวลาสมควรแล้ว สถานการณ์บ้านเมืองมีความเรียบร้อย บรรยากาศมีความเหมาะสมการจะออกมาดำเนินกิจกรรมทางการเมืองใดๆ คสช.ก็จะผ่อนปรนให้ดำเนินการได้
เราไม่อยากให้คิดว่ามีความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม ระหว่างฝ่ายเกิดขึ้น เพราะคสช.พยายามรักษาบรรยากาศความสงบเรียบร้อย เพื่อสนับสนุนการบริหารแผ่นดินของรัฐบาล แต่ถ้าอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพื่อไปปลุกกระแสเป็นการเคลื่อนไหวต่างๆ เราก็บอกกล่าว ตักเตือน ขอร้อง และขอความร่วมมือให้ใจเย็นๆ ก่อน รอให้บรรยากาศมีความเหมาะสมจะดีกว่าค่อยดำเนินการ
ก่อนที่ขู่สำทับตามมาว่า หากกลุ่มนปช.ยืนยันจะแถลงข่าวจริงก็ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสม และต้องรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำลงไปด้วยเช่นกัน ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่ก็อยากจะถามกลับไปยังพันเอกปิยะพงศ์ในฐานะทีมโฆษกคสช.เช่นกันว่า ตีความสิ่งที่แกนนำนปช.ยังไม่ได้แถลงไปแล้วว่า เป็นการปลุกระดม เคลื่อนไหวทางการเมือง มุ่งสร้างความแตกแยก
ถ้าเช่นนั้น กรณีที่แกนนำระบอบสนธิ-จำลองได้นัดหมายประชุมร่วมกันถึง 2 ครั้ง 2 ครา หลังคำพิพากษาของศาลที่ยกฟ้องสมชายและพวก ท่านทั้งหลายไม่ได้รู้สึกรู้สาว่าเป็นการดำเนินกิจกรรมทางเมืองอย่างนั้นเลยใช่ไหม รวมไปถึงการนัดหมายทั้งแกนนำและแนวร่วมไปยื่นร้องต่อศาลอุทธรณ์ก็ไม่ใช่กิจกรรมทางการเมืองของกลุ่มด้วยใช่หรือไม่
ตรงนี้ต่างหากที่น่าห่วงใย หากยังใช้วิธีการสองมาตรฐาน ตีความกันตามอำเภอใจ แล้วมันจะสร้างความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และไม่เลือกปฏิบัติได้อย่างไร ไม่ใช่เฉพาะกรณีความเคลื่อนไหวของฝ่ายแดงฝ่ายเหลืองเท่านั้น แต่กรณีที่แกนนำกปปส.ไปพบ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่พรรคประชาธิปัตย์ นั่นก็เป็นการหารือเรื่องการเมืองตรงๆเต็มๆ ทว่าผู้มีอำนาจกลับทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และอ้างว่าไม่น่าจะมีการคุยกันเรื่องการเมือง
พออีกพวกหนึ่งเตรียมที่จะหารือหรือแถลงการณ์ใดๆ ก็จะใช้เหตุผลว่าเป็นกิจกรรมทางการเมืองทุกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนั้น ประเภทที่เที่ยวโพนทะนามาตลอด 3 ปีว่าเป็นกรรมการที่เป็นกลาง ไม่เคยเข้าข้างพวกหนึ่งพวกใด ความเป็นจริงที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า เป็นไปตามคำพูดหรือคำสัญญาที่ได้ลั่นวาจาไว้หรือเปล่า
เอาเถอะ ปมของณัฐวุฒิจะได้แถลงหรือไม่นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่เหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 นั้น ถือเป็นประวัติศาสตร์อันอัปยศของการเมืองไทยครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ตามหลอกหลอนคนที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอดเช่นนั้น อภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำรัฐบาลก็มีภาพหรือฉายามือเปื้อนเลือดติดตัวมาถึงทุกวันนี้ ล่าสุดในการไปบรรยายที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ถูกตั้งคำถามถึงเรื่องนี้
โดยเป็นคำถามจากเด็กรัฐศาสตร์ปี 1 “เพนกวิน”พริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ถามอดีตผู้นำมือเปื้อนเลือดว่า “อยากบอกอะไรกับวิญญาณน้องเฌอ”(สมาพันธ์ ศรีเทพ ที่ถูกยิงศีรษะเสียชีวิตบริเวณซอยรางน้ำในช่วงการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 53) แต่ก็ต้องชื่นชมอภิสิทธิ์ที่ไม่ได้เดินหนีหรือแสดงปฏิกิริยาไม่พอใจ โดยตอบคำถามดังกล่าวอย่างนิ่มนวลว่า
“ผมขอแสดงความเสียใจกับเขาแล้วก็ครอบครัวเขา แล้วผมก็ยืนยันว่าไม่มีใครอยากให้เกิดความสูญเสียแบบนี้เกิดขึ้น แล้วก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก นี่คือสิ่งที่สามารถทำได้ และผมก็สนับสนุนในเรื่อง การค้นหาความจริงที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตทุกกรณี เพื่อที่จะให้ความเป็นธรรมอย่างน้อยที่สุดก็กับครอบครัวเขา ดวงวิญญาณของเขา”
ถือเป็นหลักการที่น่ายกย่อง แต่มันจะดีกว่านี้หากในยามที่มีอำนาจจะคิดถึงชีวิตของประชาชน คนที่ไปร่วมชุมนุมด้วยมือเปล่าให้มากกว่าผลที่ได้ตัดสินใจและกระทำไปแล้ว นี่เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีผู้เจตนาให้คนส่วนใหญ่ลืมเหตุการณ์อัปยศ แต่คนจำนวนหนึ่งก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากแต่ยังคงมุ่งแสวงหาความจริงและค้นหาคำตอบเพื่อความยุติธรรม
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่พริษฐ์พูดทิ้งท้ายซึ่งเป็นคำถามที่เตรียมจะถามอภิสิทธิ์แล้วไม่ได้ถาม นั่นก็คือ ท่านบอกว่าบางทีพวกเห็นต่างก็เข้าใจผิดหรือบิดเบือนเจตนารมณ์ ทำให้เกิดความแตกแยก ก็อยากจะถามท่านว่า หลายครั้งที่ท่านให้สัมภาษณ์โจมตีฝ่ายตรงข้ามหรือคนคิดต่าง จะถือว่าเป็นการบิดเบือน ยุยงให้แตกแยกหรือไม่ เป็นคำถามที่แหลมคมและท้าทายต่อการค้นหาคำตอบเป็นอย่างยิ่ง ทางที่ดีผู้มีอำนาจปัจจุบัน ควรจะช่วยตอบคำถามนี้เสียมากกว่าว่าเป็นอย่างที่เด็กมันสงสัยหรือไม่