พาราสาวะถี
ถ้าแก้ปัญหากันอย่างนี้แล้วคิดว่าถูกว่าดีก็เชิญเอาที่สบายใจ เรื่องบริษัทเอกชนเช่าที่ป่าชุมชนห้วยเม็ก จังหวัดขอนแก่น หลังจากที่ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา มท.1 สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งที่เซ็นอนุมัติไปแล้ว หากพบมีประชาชนในพื้นที่คัดค้านเพียงคนเดียว ต้องยกเลิกทันที ล่าสุด บริษัทดังว่าได้ขอยกเลิกการเช่าที่ดินดังกล่าวไปแล้ว ถามกันต่อว่าที่ผิดพลาดกันมาตั้งแต่ต้นจะดำเนินการอย่างไร
อรชุน
ถ้าแก้ปัญหากันอย่างนี้แล้วคิดว่าถูกว่าดีก็เชิญเอาที่สบายใจ เรื่องบริษัทเอกชนเช่าที่ป่าชุมชนห้วยเม็ก จังหวัดขอนแก่น หลังจากที่ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา มท.1 สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งที่เซ็นอนุมัติไปแล้ว หากพบมีประชาชนในพื้นที่คัดค้านเพียงคนเดียว ต้องยกเลิกทันที ล่าสุด บริษัทดังว่าได้ขอยกเลิกการเช่าที่ดินดังกล่าวไปแล้ว ถามกันต่อว่าที่ผิดพลาดกันมาตั้งแต่ต้นจะดำเนินการอย่างไร
หรือจะใช้โมเดลเดียวกันกับกรณีมีคนไปเรียกรับค่าหัวคิวจากโรงหล่อในโครงการอุทยานราชภักดิ์ ที่พบว่าได้มีการนำเงินดังกล่าวไปบริจาคแล้วก็มีอันจบกัน หากทำกันแบบนี้ ประชาชนคนทั่วไปไร้ปัญหาและคงไม่กล้าตอแยด้วยเพราะกลัวอำนาจพิเศษและมาตรายาวิเศษ แต่หากใช้วิธีการแบบมักง่ายกันบ่อยๆ ก็พึงระวังอำนาจที่มีล้นฟ้า ถ้าคนเสื่อมศรัทธาแล้ว มันจะกลายเป็นแค่ผงธุลีดีๆ นี่เอง
ยามนี้ต้องยอมรับความเป็นจริงกันว่า พี่รองแห่งบูรพาพยัคฆ์อยู่ในจังหวะพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกจริงๆ ความวัวเรื่องป่าชุมชนยังไม่ทันหาย ก็มีความควายเรื่องเรือเหาะ 350 ล้านบาทที่ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกอุตส่าห์แถลงปลดประจำการไปแล้วหลังใช้งานมานาน 8 ปี ก็คิดว่าทุกอย่างน่าจะจบๆ กันไป
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อสื่อทุกสำนักต่างพากันขุดคุ้ยและเทียบเคียงความคุ้มค่าของราคาจัดซื้อบวกกับค่าดูแลรักษาอีกปีละ 50 ล้านบาท เรือเหาะที่ซื้อมาเพื่อหวังจะใช้เก็บบันทึกภาพเหตุการณ์และภูมิประเทศใช้ในการวางแผนเดินยุทธศาสตร์แก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ กลับกลายเป็นว่าเรือเหาะเจ้ากรรมถูกเก็บไว้ในโรงซ่อมมากกว่านำออกมาใช้งาน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ถนนทุกสายจึงมุ่งไปที่องค์กรผู้ตรวจสอบความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณแผ่นดินและองค์กรตรวจสอบการคอร์รัปชั่นอย่างสตง.และป.ป.ช. ทว่างานนี้มีบรรดาเซียนทั้งหลายแย่งกันต่อประเภทร้อยเอาแค่ขี้หมากองเดียว บทสรุปที่จะออกมาไม่มีอะไรในกอไผ่ เงินที่ถูกใช้ไปกับของที่นำมาใช้งานถือว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
แนวทางเช่นนี้ช่วง 3 ปีกว่าผู้คนสัมผัสกันจนคุ้นตาชินหูกันแล้ว ดังนั้น จึงไม่ได้คาดหวังว่าผลของการตรวจสอบจะออกมาอย่างไร สุดท้ายก็หันหลับไปสู่แนวทางแห่งหลักธรรม กรรมใดใครก่อย่อมได้เช่นนั้น ผู้ปฏิบัติดีย่อมได้รับสิ่งที่ดีเป็นการตอบแทน ส่วนใครคิดร้ายประพฤติชั่ว แม้วันนี้อาจจะยังไม่เห็นผล แต่ผลแห่งกรรมย่อมติดตัวไปทุกที่ทุกเวลา
วันวานครบรอบ 11 ปีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ฝ่ายประชาธิปไตยไร้ความเคลื่อนไหวในแง่ของการจัดงาน เหตุผลก็อย่างที่รู้กัน แต่คนที่ถูกยึดอำนาจโดยคมช.อย่าง ทักษิณ ชินวัตร ทวีตข้อความ I hope the memory of what happened 11 years ago has not faded from the hearts of Thai people. I am, and will always be, concerned about the livelihood of my fellow Thai citizens.
แปลเป็นไทยก็คือ หวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว จะไม่เลือนลางหายไปจากใจของประชาชนชาวไทย และตนยังคงห่วงใยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเสมอ สั้นๆ แต่ได้ใจความ ไม่ต้องขยายอะไรให้มาก ขณะที่ท่านผู้นำก็ตอบคำถามต่อกรณีนี้แล้วว่า ไม่ให้ความสนใจเพราะไม่มีประโยชน์ในการทำงาน ถูกต้องแล้วเพราะตอแยไปได้ไม่คุ้มเสีย
สถานการณ์ของประเทศไทยมันก็เป็นอยู่ได้แค่เท่านี้ ผีทักษิณยังถูกใช้เป็นเครื่องมือหลอกหลอนให้ฝ่ายที่เกลียดทุนสามานย์ไม่เอาระบอบทักษิณได้แสดงความเห็นและตอกย้ำโดยฝ่ายผู้ครองอำนาจได้ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เมื่อมองจากอำนาจเบ็ดเสร็จที่ใช้กันอยู่ มันควรจะมองไกลไปถึงการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีกันได้แล้ว
แต่ความเป็นจริงที่น้ำท่วมปากและผู้อำนาจอยากจะสลัดให้หลุดก็คือ คนรากหญ้า มนุษย์เงินเดือนและเกษตรกรยังมีความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า สารพัดมาตรการที่ผุดขึ้นมาภายใต้ประชานิยมจำแลงอย่างประชารัฐ ไม่มีวี่แววว่าจะทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศลืมตาอ้าปากได้ จากที่หวังจะเป็น (บูรพา) พยัคฆ์ติดปีก มันเลยแป้กซึมกระทืออย่างที่เห็นกัน
โรดแมปเลือกตั้งที่ย้ำกันหนักกันหนา ไม่ว่าจะจากปากของใครมันต้องเกิดขึ้นภายในปี 2561 แต่เมื่อไม่รู้วันว.เวลาน. จะบังคับให้คนเชื่อตามนั้นคงยาก ยิ่งล่าสุด พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.ออกมาพูดเป็นนัยเรื่องกฎหมายสำคัญที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งทั้งร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และร่างกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. เป็นเรื่องที่พิจารณายากและต้องใช้เวลา ยิ่งทำให้คำว่า “เลื่อน” มีโอกาสเป็นไปได้สูง
สงสัยเป็นเรื่องที่จะทำให้ท่านผู้นำออกอาการปรี๊ดแตกอีกแน่ กับคดีฟอกเงินกรณีที่ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยทุจริตอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร เพราะนอกจาก “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ที่ดีเอสไอเล็งจะเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ปรากฏว่ามีตัวละครที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีก 2 รายซึ่งมีตำแหน่งแห่งหนในองคาพยพอำนาจปัจจุบัน
รายหนึ่งคือ อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่เคยดำรงตำแหน่งกรรมการธนาคากรุงไทย อีกรายคือ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.ฐานะประธานกรรมการบริษัทกฤษดามหานคร โดยรายแรกปฏิเสธสั้นๆ กับนักข่าว เรื่องนี้เป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมายซึ่งจบไปแล้ว จึงไม่ขอให้ความเห็น และเป็นที่มาแห่งข้อสังเกตในการเลือกที่จะดำเนินคดีของดีเอสไอ
โดย วันชัย บุนนาค ทนายความอิสระ ไปยื่นเรื่องต่ออธิบดีดีเอสไอตั้งคำถามว่า คดีนี้มีผู้บริหารที่ร่วมอนุมัติเงินกู้ 5 ราย แต่กลับถูกดำเนินคดีเพียง 3 รายเท่านั้น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ทำไปทำมากลายเป็นว่าจากที่หวังจะเชือดคนในตระกูลชินวัตร แต่กลับไปสะดุดตอ ก็รอดูว่าการดำเนินการของผู้มีอำนาจจะเป็นไปในลักษณะลูบหน้าปะจมูกหรือเปล่า
ส่วนมีชัยก็อ้างถึงเรื่องดังกล่าวว่า บริษัทกฤษดามหานครไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน เพราะมันเป็นเรื่องของผู้ถือหุ้นที่มาซื้อหุ้นบริษัทโดยการกู้เงิน ไม่เกี่ยวกับบริษัทซึ่งไม่รู้ว่าเขาเอาเงินจากไหนมาซื้อ เราตรวจสอบเงินของผู้ซื้อหุ้นไม่ได้ เหตุการณ์นี้ก็ชวนให้นึกถึงคำโบราณที่ว่าหมองูตายเพราะงูอยู่ไม่น้อย บางทีเนติบริกรที่ใช้กฎหมายเล่นงานฝ่ายตรงข้าม อาจจะถูกข้อกฎหมายแว้งมากัดตัวเองและพวกเดียวกันก็ได้