ต่างชาติ จะหวนกลับ

ข้อมูลที่น่าสนใจต่อไปในที่นี้ ปรากฏอยู่ในข้อเขียนของนาย ฐิติเมธ โภคชัย ผู้บริหารงาน ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะถูกหรือผิดก็เป็นไปตามนั้น


พลวัตปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล

ข้อมูลที่น่าสนใจต่อไปในที่นี้ ปรากฏอยู่ในข้อเขียนของนาย ฐิติเมธ โภคชัย ผู้บริหารงาน ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะถูกหรือผิดก็เป็นไปตามนั้น

นายฐิติเมธ ตั้งหัวเรื่องว่า “Fund Flow” รีเทิร์น? ก่อนที่จะสาธยายข้อมูลว่า ช่วงนี้ นักลงทุนต่างชาติให้น้ำหนักตลาดหุ้นไทยมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ คำถามที่ตามมาก็หนีไม่พ้นว่า เงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาจริงแท้แน่นอนแล้วหรือยัง

เขาสรุปว่า หากดูข้อมูลย้อนหลัง เดือนมกราคม-พฤษภาคมที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง มีเพียงเดือนกุมภาพันธ์ที่ขายออกไป 107 ล้านเหรียญสหรัฐ มาถึงช่วงมิถุนายน-สิงหาคม ต่างชาติขายหุ้นไทยทุกเดือน รวมทั้งสิ้น 330 ล้านเหรียญสหรัฐ

ล่าสุดประมาณครึ่งเดือนแรกของกันยายนนี้ ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยราว 103 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ทั้งหมดในภูมิภาคเดียวกันถูกขายออกทั้งหมด และเป็นที่น่าสังเกตว่าครึ่งแรกของเดือนนี้ ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงสุดประมาณ 1.69%

นายฐิติเมธอ้างถึงคำพูดของนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุถึงเหตุผลหลักๆ ที่ต่างชาติกลับมาให้น้ำหนักหุ้นไทยช่วงนี้ว่าเป็นเพราะราคาหุ้นยังไม่แพง สะท้อนจาก Expected P/E Ratio ปีนี้อยู่ที่เพียง 16.2 เท่า และปีหน้าลดเหลือ 14.9 เท่า ต่ำเป็นอันดับสองรองจากจีนที่อยู่ระดับ 14.9 เท่าในปีนี้ และ 13.1 เท่าในปีหน้า

เทิดศักดิ์ ให้เหตุผลอ้างว่า ปัจจัยพื้นฐานหุ้นไทยปัจจุบัน ถือว่าอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ผลดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนอยู่ในเส้นทางเติบโตต่อเนื่อง และ หากดูเศรษฐกิจไทย เริ่มฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในไตรมาส 2 ปีนี้ เนื่องจากภาคส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่อง และการลงทุนเอกชนที่พลิกกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส นอกเหนือจากการลงทุนภาครัฐที่นำร่องไปก่อนตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันช่วงครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจะมีงานประมูลงานราว 2.27 แสนล้านบาท โดยเฉพาะรถไฟทางคู่เฟสแรก 10 สัญญา มูลค่ารวม 7.3 หมื่นล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มูลค่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการตกค้างจากแผนการลงทุนในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีความต่อเนื่องในปีหน้า จากที่คาดว่าจะมีการประมูลงานกว่า 5 แสนล้านบาท ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระดับ 4% และคาดว่าสำนักวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศน่าจะออกมาทยอยปรับเพิ่มการเติบโตเศรษฐกิจไทย เช่นเดียวกับที่ได้ปรับเพิ่มปีนี้ไปแล้ว

หากพูดถึงแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน มีการคาดหมายว่า กำไรสุทธิปีนี้ที่ 9.91 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% จากปีที่ผ่านมา ส่วนปีหน้าคาดกำไรสุทธิ 1.08 ล้านล้านบาท โดยอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นไทย ในปีหน้าจะเติบโตราว 8.5% ดังนั้น ถ้าดูปัจจัยพื้นฐานของไทย หุ้นไทยพร้อมขึ้นมากกว่าลง เพียงแต่ปัญหาหุ้นไทยคือ ไม่มีแรงขับเคลื่อนจากเงินลงทุนต่างชาติ

ในกรณีของทุนต่างชาติ หรือ ฟันด์โฟลว์ ถ้าย้อนไปในช่วงต้นปี 2552 เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยขยับขึ้นตามไปด้วย

เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่องและดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นอย่างน่าประทับใจ จนถึงต้นปี 2556 ที่เม็ดเงินต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้มูลค่าตามราคาตลาดตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระดับประมาณ 18 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยไม่ค่อยวิ่ง เนื่องจากแรงขับเคลื่อนของเงินต่างชาติหดหาย

นับตั้งแต่ต้นปี 2559 เงินต่างชาติเริ่มไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นปริมาณที่ไม่มาก ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยไม่ค่อยไปไหน

ปัจจุบันการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติต่ำสุดในรอบ 10 ปี ตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 สัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยรวมการถือหุ้นผ่าน NDVR อยู่ระดับประมาณ 31% จากอดีตที่เคยอยู่ระดับ 35-37% เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักวิเคราะห์เกิดมุมมองที่มั่นใจว่า ตลาดหุ้นไทยพร้อมขึ้นมากกว่าลง เพราะเชื่อว่าจะไม่มีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติอีกแล้ว

ยอดซื้อสุทธิสะสมของนักลงทุนต่างชาติ เข้ามาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 เม็ดเงินลงทุนต่างชาติทะยอยเพิ่มขึ้นจนถึงช่วงกลางปี 2550 มียอดซื้อสะสมระดับ 3.94 แสนล้านบาท แต่หลังจากเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เงินลงทุนต่างชาติไหลออกเกือบทั้งหมด ก่อนที่จะหวนคืนกลับมาเมื่อเม็ดเงินล้นเกินจากมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ทำให้ต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง จนถึงช่วงต้นปี 2556 มียอดซื้อสะสมสูงถึง 4.69 แสนล้านบาท

เมื่อมาตรการ QE สหรัฐฯสิ้นสุดลง และการเมืองไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทำให้ต่างชาติทยอยขายหุ้นไทยอีกครั้ง จนกระทั้งต้นปีที่ผ่านมาเริ่มกลับเข้ามาซื้ออีกรอบ และปัจจุบันมียอดซื้อสะสมระดับ 1 แสนล้านบาท ยังมีช่องว่างที่เม็ดเงินต่างชาติเข้ามาอีกมาก

ข้อมูลที่ยกมาทั้งหมดข้างต้น แม้จะไม่มีอะไรใหม่มากนัก แต่ก็ยังน่าสนใจ ส่วนจะน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องใช้วิจารณญาณพินิจกันเอาเอง เพราะข้อสรุปในข้อเขียนดังกล่าว ละเยข้อเท็จจริงที่ว่าด้วยปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง เพราะการลงทุนทุกชนิดในประเทศที่มีรัฐบาลเผด็จการทหาร เสี่ยงสูงกว่าระดับปกติเสมอ

Back to top button