พาราสาวะถี
เป็น 3 ตัวละครที่น่าจะช่วยยืนยันได้ว่า 27 กันยายนนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่มาปรากฏกายฟังคำพิพากษาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างแน่นอน เหลือแต่เพียงว่าจากนี้ไปจะสืบสาวราวเรื่องขยายผลไปถึงคนสั่งการให้พาอดีตนายกฯหญิงหนีได้กี่มากน้อยเท่านั้น เบื้องต้นมีผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยไม่น้อยกว่า 10 คน
อรชุน
เป็น 3 ตัวละครที่น่าจะช่วยยืนยันได้ว่า 27 กันยายนนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่มาปรากฏกายฟังคำพิพากษาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างแน่นอน เหลือแต่เพียงว่าจากนี้ไปจะสืบสาวราวเรื่องขยายผลไปถึงคนสั่งการให้พาอดีตนายกฯหญิงหนีได้กี่มากน้อยเท่านั้น เบื้องต้นมีผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยไม่น้อยกว่า 10 คน
ผลจากการคุมตัวและสอบปากคำ พันตำรวจเอกชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 พันตำรวจโทสามิตร ไชยอิ่นคำ สารวัตรกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม และ ดาบตำรวจพรพิพัฒน์ มากบุญงาม ผู้บังคับหมู่ฝ่ายอำนวยการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม ที่ต้องสงสัยเป็นคนพายิ่งลักษณ์หนี ตามรายงานข่าวพบว่ามีอดีตนายตำรวจใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องหลายนาย
จากการแกะรอยพบว่ามีทั้งอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมไปถึงอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หากยึดตามคำให้สัมภาษณ์ของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ระบุว่า “รู้ตัวคนสั่งให้พาหนี” แล้ว แต่ขออุบไต๋ไว้ก่อน เป็นคนที่อยู่ในประเทศไม่ใช่ต่างประเทศ ก็ต้องวัดใจกันว่าผู้ต้องสงสัยจะไหวตัวทันแล้วหนีหรือเปล่า
หรืออาจเป็นไปได้ว่าเวลานี้ก็ถูกตามประกบตัวกันอย่างใกล้ชิดแล้ว รอเพียงเวลาในการเปิดปฏิบัติการกระชากหน้ากากทีมพายิ่งลักษณ์หนีหลังศาลอ่านคำพิพากษาในวันที่ 27 ที่จะถึงนี้เท่านั้น ส่วนความคลางแคลงใจว่าผู้มีอำนาจจะมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการพาหนีนั้น วันนี้ สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลยืนยันหนักแน่นว่าไม่มี
พร้อมอ้างคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าให้ดำเนินการทางคดีในเรื่องนี้อย่างโปร่งใส รอบคอบ โดยขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของเจ้าหน้าที่และกระบวนการยุติธรรม นอกจากนั้นยังขอให้สังคมได้ติดตามตรวจสอบไปพร้อมกันด้วย เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ ส่วนใครที่ยังมีคำถามค้างคาใจ คงต้องรอให้กระบวนการของตำรวจเดินไปให้สุดทาง ก็จะได้รู้ว่าทั้งหมดคือ ขบวนการพาปูหนีของจริงหรือแค่เบี้ยตัวหนึ่งในเกมที่ถูกกำหนดขึ้นมาเท่านั้น
งานนี้อย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้น มันต้องมีคำตอบให้สังคม มิเช่นนั้น รัฐบาลคสช.จะอยู่อย่างอึดอัดในหัวใจ เอาแค่ท่านผู้นำถูกถามจี้ทุกวันก็ออกอาการหงุดหงิดให้เห็นกันแล้ว ส่วนยิ่งลักษณ์คงต้องรอดูผลแห่งคำพิพากษา ถ้ายังเก็บตัวเงียบก็แสดงว่าต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปในลักษณะนี้ แต่ถ้ามีปฏิกิริยา ก็จะได้รู้ว่าอยู่ที่ไหนและได้ยื่นเรื่องขอลี้ภัยเหมือนที่ปรากฏเป็นข่าวมาตั้งแต่ต้นหรือเปล่า
สงสัยจะติดใจคารมของพลพรรคชาติไทยพัฒนาในการได้พบปะเมื่อคราวลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านผู้นำจึงป่าวประกาศผ่านรายการเมื่อคืนวันศุกร์ สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นคือได้มีโอกาสพบกับบรรดานักการเมือง จากพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีความยินดีที่มีการพบปะพูดคุยกัน นั่นคือเรียกว่า การปรองดอง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมาเป็นพวกกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน ยังไม่ไปพูดถึงตรงนั้น
เพียงแต่จะร่วมมือกันได้อย่างไรในวันหน้า เพราะคนเหล่านั้นก็เป็นนักการเมืองอาชีพอยู่ในกระบวนการบริหารราชการแผ่นดินมาทุกพรรค เรายินดีที่จะพบปะพูดคุย เป็นท่าทีที่ต้องบอกว่าเปลี่ยนไปอย่างมาก จากที่ก่อนหน้านั้น ท่านผู้นำจะด่ากราดโจมตีนักการเมืองว่าเป็นตัวสร้างปัญหามาโดยตลอด การเดินเกมเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติและธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ก็ยังไม่วายที่จะพูดไปถึงบางคนหรือบางพรรคว่า ไม่อยากคุยด้วยก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร พยายามที่จะลดข้อขัดแย้งที่หลายๆ คนเรียกร้องว่า รัฐบาลไม่พูดไม่คุย ไม่ฟังใคร ไม่ฟังนักการเมืองอะไร ตนก็ฟังพอฟังเสร็จก็หาว่าพยายามดึงมาเป็นพวกอีก ซึ่งไม่ใช่ แหม!ช่างเป็นการฉกฉวยโอกาสอธิบายโดยใช้สิ่งที่ตัวเองได้ไปสัมผัสมาอย่างเนียนตาทีเดียว
อย่างไรก็ตาม หากท่านจะบอกว่าการได้พบกับแกนนำของพรรคชาติไทยพัฒนาแล้วเป็นการแสดงว่าเปิดกว้างรับฟังความเห็นจากพรรคการเมือง คงจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะนั่นเป็นเพียงแค่พรรคเดียวและคนก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปตามมารยาทที่มีผู้นำมาเยือนต้องไปต้อนรับ หรือเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองกันในอนาคต
เพราะสิ่งที่นักการเมืองและพรรคการเมืองส่วนใหญ่เรียกร้อง ไม่ใช่การได้พูดคุยกับท่านผู้นำ หากแต่หมายถึงการเปิดเวทีให้เขาได้ทำกิจกรรม เพื่อที่จะได้กำหนดทิศทาง วางนโยบาย เตรียมพร้อมไว้สำหรับการจัดการเลือกตั้ง หรืออีกประการคือ การเปิดให้ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเสนอความเห็นทั้งต่อกระบวนการยกร่างกฎหมายอันเกี่ยวข้องอย่างจริงจังและจริงใจ ไม่ใช่แค่เพียงพอเป็นพิธี
ตรงนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจยังไม่ได้ก้าวไปถึงจุดนั้น เหมือนอย่างที่สวนดุสิตโพลสำรวจความเห็นประชาชนมาล่าสุด โดยเสียงส่วนใหญ่เห็นว่านักการเมืองถูกควบคุม ไม่สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้มากนัก แสดงออกได้ไม่เต็มที่ ไม่มีบทบาท ตามมาด้วยข้อเสนอแนะให้รัฐบาลเปิดโอกาส รับฟังความคิดเห็นของนักการเมือง มีความยุติธรรม เสมอภาค ไม่สองมาตรฐาน และปลดล็อคพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมได้
หากตั้งใจจริง สิ่งที่จะตามมานอกเหนือจากการพูดว่าพร้อมพูดคุยกับทุกพรรคการเมือง คือการประกาศให้ชัดว่า จะอนุญาตให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมทางการเมืองได้เมื่อใดและจะจัดการเลือกตั้งให้ได้ตามโรดแมปภายในปีหน้านี้อย่างแน่นอน ไม่ต้องถึงขั้นลงนามเป็นสัญญาประชาคมอะไร เพียงแต่ขอให้พูดให้ชัดเป็นสัญญาสุภาพบุรุษก็เท่านั้น
ส่วนที่พลเอกประวิตรเปลี่ยนท่าทีต่อเรื่องการปลดล็อคพรรคการเมืองจากที่เคยพูดว่ารอให้สบายใจก่อนเป็นหลังกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งแล้วเสร็จแล้วจึงจะพิจารณา ก็หาใช่การแสดงความจริงใจไม่ เพราะอย่างที่รู้กัน นั่นเป็นการจำนนด้วยกติกา เพราะทุกอย่างถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหมดแล้ว หากให้มองอีกทางก็มีความเป็นไปได้ว่า พรรคการเมืองจะไม่ได้รับโอกาสนั้น ถ้ามีกฎหมายฉบับหนึ่งฉบับใดถูกคว่ำในชั้นสนช. เรื่องนี้อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้