ตัวใครตัวมัน
*สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยตอนนี้จะเห็นว่าตัวเลขการขายของนักเล่นแต่ละกลุ่มออกมาเป็นแบบที่ “โมนิก้า” คาดคิดไว้ก่อนหน้าไม่มีผิด ไล่เรียงมาตั้งแต่นักลงทุนสถาบันสาดหุ้นทิ้ง 803 ล้านบาท ฟากฝรั่งตาน้ำข้าวทิ้งหุ้นไทยไปถึง 1.97 พันล้านบาท กลายเป็นรายย่อยที่ซื้อหุ้น 1.82 พันล้านบาท สัญญาณการขายครั้งนี้คงจะเริ่มทำให้นักลงทุนออกอาการแข้งขาสั่นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่มองว่าการขายรอบนี้เป็นเพียงแค่น้ำจิ้ม ที่ยังจะต้องตบท้ายด้วยของคาว และของหวานถึงจะครบสูตร ช็อตต่อไปนี้เดี๊ยนออกโรงเลยว่าอาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่กล้าได้กล้าเสี่ยง
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยตอนนี้จะเห็นว่าตัวเลขการขายของนักเล่นแต่ละกลุ่มออกมาเป็นแบบที่ “โมนิก้า” คาดคิดไว้ก่อนหน้าไม่มีผิด ไล่เรียงมาตั้งแต่นักลงทุนสถาบันสาดหุ้นทิ้ง 803 ล้านบาท ฟากฝรั่งตาน้ำข้าวทิ้งหุ้นไทยไปถึง 1.97 พันล้านบาท กลายเป็นรายย่อยที่ซื้อหุ้น 1.82 พันล้านบาท สัญญาณการขายครั้งนี้คงจะเริ่มทำให้นักลงทุนออกอาการแข้งขาสั่นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่มองว่าการขายรอบนี้เป็นเพียงแค่น้ำจิ้ม ที่ยังจะต้องตบท้ายด้วยของคาว และของหวานถึงจะครบสูตร ช็อตต่อไปนี้เดี๊ยนออกโรงเลยว่าอาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่กล้าได้กล้าเสี่ยง
*ส่วนในเรื่องของการเกิด “วินโดว์เดรสซิ่ง” ที่หลายคนวาดฝันเอาไว้ว่าอาจจะมีการดันราคาขึ้นมาอีก ถึงวันนี้ “โมนิก้า” คงต้องขอเบรกพวกที่ชอบฝันกลางวันเอาไว้เลย เพราะเท่าที่เห็นดัชนีในช่วงก่อนปรับตัวขึ้นมาสูงถึงขนาดนี้ แถมหุ้นส่วนใหญ่ที่เห็นในวันนี้ปรับตัวขึ้นสูงเกินมูลค่า แถมเทรดกันบนค่า P/E ที่สูงปรี๊ด จะยังมีเหตุผลอะไรที่จะต้องดันราคากันอีกล่ะเจ้าค่ะ…
*เห็นได้จากการที่ดัชนีหุ้นไทยออกอาการเข่าทรุด ล่าสุดร่วงมาอยู่ที่ 1,659.05 จุด ลบไป 11.44 จุด หรือ 0.68% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 6.45 หมื่นล้านบาท ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ “โมนิก้า” ตั้งคำถามว่าดัชนีจะยังยืนอยู่ในระดับที่สูงขนาดนี้ได้อีกนานสักแค่ไหน หลังจากตัวเลขต่างๆ มันเริ่มฟ้องให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แถมการปรับขึ้นเที่ยวนี้ดูยังไงก็ไม่สัมพันธ์กับปัจจัยพื้นฐาน การปรับตัวลงในรอบนี้หากใครยังไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ล่ะก็ตัวใครตัวมันเจ้าค่ะ
*ตัวอย่างดังกล่าวอธิบายได้จากกรณีของ DNA ที่วิ่งแรงแซงทางโค้ง 6 วันติด ตั้งแต่ราคาอยู่แถวๆ 1.13 บาท ล่าสุดกระชากมาปิดที่ 1.68 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไป 13.51% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 340.49 ล้านบาท “โมนิก้า” มองว่านี่มันเป็นเกมส์สยองชัดๆ ตัวเลขผลประกอบการก็ยังติดลบ แถมทางเทคนิคก็เข้าเขตซื้อมากเกินไป งานนี้ใครจะเข้าก็ต้องระวังกันให้ดี สเต็ป “ขึ้นซื้อลงขาย” คงจะใช้ไม่ได้ผล เพราะเข้าไปตอนนี้น่าจะออกกันไม่ทันแล้วล่ะจ้า
*อีกหนึ่งรายที่มารูปแบบเดียวกันอย่าง SPPT ที่พุ่งสวนทางหุ้นไทยมาปิดที่ 5.60 บาท บวกไป 0.45 บาท หรือ 8.74% ด้วยมูลค่า 88 ล้านบาท หลังจากก่อนหน้านี้ราคาเหมือนจะลุ่มๆ ดอนๆ อยู่แถว 4.60 บาท “โมนิก้า” ก็อยากจะเชียร์หุ้นตัวนี้ให้ขาเก็งกำไรได้ชุ่มชื่นใจกันอีกสักหน่อย แต่ของร้อนแบบนี้ต้องเข้าเร็วออกเร็ว หากใครขึ้นขบวนช้าระวังจะจบไม่สวย แล้วจะหาว่าเดี๊ยนไม่เตือนนะเจ้าค่ะ
*หันมามอง SGP ที่ถึงแม้จะมีลุ้นข่าวดีว่ากำไรทั้งปีทำสถิติสูงสุดใหม่ ตามราคาขายก๊าซ LPG ในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นแต่ดูเหมือนว่าราคาหุ้นจะตอบรับปัจจัยบวกมากไปแล้ว เห็นได้จากการที่ราคาหุ้นเข้ามาอยู่ในเขตซื้อมากเกินไป งานขายทำกำไรจึงออกมาให้เห็น ล่าสุดหุ้นปิดที่ระดับ 19.10 บาท ลบไป 0.90 บาท หรือ 4.50% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 414.73 ล้านบาท
*ในรายของ SQ เป็นอีกตัวที่ปรับตัวลงตามแรงเทขายหุ้นไทย แม้ระหว่างวันจะมีแรงดันให้โผล่ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 6.55 บาท แต่ก็ยังหลุดแนวต้านสำคัญที่ 6.50 บาทไปไม่ได้ ก่อนจะปิดท้ายที่ 6.20 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 3.12% ด้วยมูลค่า 577 ล้านบาท แต่ ณ จุดจุดนี้ ภาพรวมธุรกิจยังแน่นเปรี๊ยะ “โมนิก้า” มองว่าเป็นโอกาสเข้าเก็บหุ้นพื้นฐานดีในช่วงที่ราคาอ่อนตัวเจ้าค่ะ…อิอิ
*สำหรับในรายของ PM ที่วันนี้ได้เห็นการไล่ราคากันมาจนล่าสุดกระชากตัวขึ้นมาปิดที่ 13.50 บาท บวกไป 0.90 บาท หรือ 7.14% มูลค่าซื้อขาย 366.65 ล้านบาท เดี๊ยนมองเป็นการเก็งกำไรทางธุรกิจหลังมีสตอรี่ที่ชัดเจน จากการส่งออกปลาเส้นทาโร่ ไปต่างประเทศแบบเต็มสูบ แถมแมงลือเม้าท์หึ่งว่ากำไรในปีนี้เป็นขาขึ้น งานนี้ราคาเป้า 17.40 บาท คงไม่ไกลเกินเอื้อมนะเจ้าค่ะ
*ส่วนหุ้นที่มีกำไรโดดเด่นเป็นทุนอย่าง CPN วิ่งมาปิดที่ 77 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือ 1.99% ด้วยมูลค่า 636.68 ล้านบาท จากข่าวดีที่ต้องนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปเมื่อปี 53 ถึงเหตุการณ์ก่อการร้ายจากพิษการเมืองที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ หลังโดนลูกหลงเสียหายไปหลายล้านบาท งานนี้ถึงแม้จะชวดค่าสินไหมจากเพลิงไหม้ แต่บริษัทยังได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากเหตุก่อการร้าย 3.5 พันล้านบาท เม็ดเงินดังกล่าวถึงจะไม่มากไม่น้อยแต่ก็ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งสวนหุ้นไทยได้ยังไงล่ะเจ้าค่ะ
*ตบท้ายกันที่หุ้นกลุ่ม Media ที่ช่วงนี้ได้เห็นราคาร่วงหล่นไปตามๆ กัน หลังจากมีประกาศหยุดออกอากาศรายการในเดือน ต.ค. ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่องบ Q4 เห็นได้ชัดในรายของ GRAMMY ที่ราคาอ่อนตัวลงมาปิดที่ 11.40 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือ 2.56% ส่วนอีกรายคงหนีไม่พ้น PLANB ที่อ่อนตัวมาปิดที่ 5.95 บาท ลบไป 0.15 บาท หรือ 2.46% ช่วงนี้เดี๊ยนขอเตือนสาวกหุ้นบันเทิงอดใจรอให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปก่อนแล้วค่อยมาเก็บของทีหลังก็ยังไม่สายเกินไปนะเจ้าค่ะ