พาราสาวะถี
ยืนยันตรงกันโดยอ้างข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลบหนีไปอาศัยอยู่ที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แน่นอนว่าคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสานเสียงเข้ากับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงมีน้ำหนักอย่างมั่นคง สิ่งที่เหลือจากนี้คือภาระหนักของฝ่ายที่เกี่ยวข้องซึ่งจะต้องอธิบายว่า อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงหนีไปได้อย่างไรและใช้ช่องทางใด
อรชุน
ยืนยันตรงกันโดยอ้างข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลบหนีไปอาศัยอยู่ที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แน่นอนว่าคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสานเสียงเข้ากับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงมีน้ำหนักอย่างมั่นคง สิ่งที่เหลือจากนี้คือภาระหนักของฝ่ายที่เกี่ยวข้องซึ่งจะต้องอธิบายว่า อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงหนีไปได้อย่างไรและใช้ช่องทางใด
ในส่วนของคดีความและการขยายผลในเรื่องอื่นๆนั้น ฟังจากน้ำเสียงของบิ๊กตู่ดูเหมือนอยากจะให้ประเด็นนี้ยุติและว่ากันไปตามกระบวนการ ตรงนี้ต้องเข้าใจแค่ประเด็นการหายตัวไปแบบไร้ร่องรอย ก็เกิดคำถามตามมามากมาย โดยเฉพาะที่ทุกสายตาจับจ้องมองไปยังรัฐบาลคสช.ว่ามีส่วนรู้เห็น พายิ่งลักษณ์หนีเองใช่หรือไม่
ขณะที่ประเด็นในคดีหากพิจารณาจากคำพิพากษาก็จะเห็นได้ว่า ในส่วนของการดำเนินนโยบายนั้นไม่ถือว่ามีความผิด แต่ผิดในเรื่องของวิธีการในส่วนของการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีที่มีการทุจริต ดังนั้น สิ่งที่จะเกี่ยวพันมาถึงรัฐบาลคือคำถามในเรื่องของกระบวนการเดินหน้ายึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์ ที่กรมบังคับคดีได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไร
หากท่านผู้นำไม่รีบตัดบทบอกให้จบๆเรื่องนี้ได้แล้วและปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการ บางประเด็นมันอาจจะย้อนกลับมาเกิดเป็นคำถามต่อรัฐบาลเสียเอง สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับกรณีนี้คือ ปล่อยให้ทุกอย่างจบลงไปตามกาลเวลา มิเช่นนั้น พลเอกประยุทธ์คงไม่ย้ำต่อคำถามที่ว่ากังวลหรือไม่ยิ่งลักษณ์ อาจจะมีการเคลื่อนไหวปลุกระดมจากต่างประเทศว่า “อย่าไปขยายให้เขา ขยายไปบ้านเมืองจะสงบไหม ใครขยายให้เขาแล้วมันวุ่นวาย ก็ประณามคนที่ขยายให้เขานั่นแหละ”
อย่างไรก็ตาม บทสัมภาษณ์ของพลเอกประวิตร ก็มีสิ่งที่ชวนให้ขีดเส้นใต้อยู่ไม่น้อย “ไปอยู่ดูไบก็ดีแล้ว” และไทยไม่ได้มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมด้วยประโยคที่ว่า เขาจะไม่ยุ่งทางการเมือง โดยอ้างว่าประเทศที่อดีตนายกฯหญิงไปพำนักอยู่แจ้งมา แหม!ด้านหนึ่งก็พอเข้าใจว่าที่ดูไบมีกติกาดังว่า แต่ถ้าจะมองให้ลึกถึงข้อตกลงที่ทำให้กล้าพูดน่าจะเป็นการตกลงกับผู้มีอำนาจในประเทศไทยเสียมากกว่า
อย่างที่บอกแหละว่า การหายตัวไปของยิ่งลักษณ์มีปุจฉาหลายประการ ที่แม้กระทั่งกองเชียร์คณะรัฐประหารก็ยังไม่เข้าใจ แต่มาถึงตรงนี้ก็ต้องบอกว่าเสี้ยนหนามสำคัญของผู้มีอำนาจหมดไปแล้ว จึงอยู่ที่ว่าอำนาจเบ็ดเสร็จที่มี จะบริหารจัดการอย่างไร เพื่อให้ความสงบราบคาบที่เป็นอยู่ เป็นความสงบเรียบร้อยที่ทุกฝ่ายยินยอมพร้อมใจ
กล่าวสำหรับยิ่งลักษณ์นอกจากที่ต้องระหกระเหินตามพี่ชายในต่างแดนแล้ว ชัดเจนอีกประการคือ ไม่สามารถเล่นการเมืองได้อีกต่อไปตลอดชีวิต แม้จะเดินทางกลับมารับโทษตามกฎหมายแล้วก็ตาม มีชัย ฤชุพันธุ์ อธิบายว่า หลังจากที่กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2560 มีผลบังคับใช้วันนี้ การอุทธรณ์จำเลยก็ต้องเดินทางมายื่นต่อศาลเอง และคดีก็จะไม่มีอายุความ
ไม่เพียงเท่านั้น ตามรัฐธรรมนูญกำหนดคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้งไว้ว่า ต้องไม่เคยถูกพิพากษาลงโทษจำคุกในฐานความผิดตามกฎมายป.ป.ช. ซึ่งกรณีของยิ่งลักษณ์เข้าข่ายนี้ จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้อีก ดังนั้น สิ่งที่ต้องมองกันต่อคงหนีไม่พ้นจังหวะเคลื่อนทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยจะเป็นอย่างไร
นายใหญ่คงจะไม่ทิ้งพรรคไปเฉยๆ แต่ตัวเลือกที่จะใช้เป็นผู้นำพาพรรคเข้าสู่สนามเลือกตั้งเหลือน้อยเต็มที ครั้นจะเขนเอาคนในตระกูลมาสู้ศึกอีกบทเรียนจากยิ่งลักษณ์น่าจะเพียงพอแล้ว เอาแค่หาหัวให้พรรคก็ต้องกุมขมับกันแล้ว แม้วันนี้จะมีเสียงเชียร์พร้อมข่าวเล็ดลอดมาว่าคนแดนไกลไฟเขียวให้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มาเป็นผู้กุมบังเหียนก็ตาม
ข่าวนี้ไม่ใช่ข่าวใหม่ เรื่องของไฟเขียวคงไม่ใช่แค่การตกปากรับคำเจ๊ใหญ่กทม.แค่รายเดียว การเดินเกมประสานายใหญ่ต้องมีก๊อกสองสามสี่ไว้สำรองอยู่แล้ว อยู่ที่การประเมินแรงกระเพื่อมภายในพรรค และกระแสเสียงตอบรับของประชาชนอันเป็นฐานเสียงสำคัญในพื้นที่ต่างๆของพรรคเพื่อไทยด้วย ถ้าถาม ณ เวลานี้ว่าคุณหญิงสุดารัตน์คือคำตอบสุดท้ายแล้วใช่ไหม ต้องบอกว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน
สถานการณ์ในยามนี้ต้องบอกว่าเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปกันทางการเมือง แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ที่น่าจะกระหยิ่มยิ้มย่องต่อการที่ยิ่งลักษณ์โดนเชือด ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแต่อย่างใด เพราะการเมืองไม่ใช่สูตรคณิตศาสตร์ที่หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง หากยังมีปัจจัย ตัวแปรอีกหลายประการ มิเช่นนั้น เนติบริกรผู้ช่ำชองอย่าง วิษณุ เครืองาม คงไม่บอกไว้ว่า จะเลือกตั้งเมื่อไหร่ต้องดูสถานการณ์ข้างหน้าด้วยว่าเป็นอย่างไร
นี่คือสัจธรรมความจริงทางการเมือง บางเรื่องบางคนบางท่วงทำนองดูเสมือนว่าเป็นศัตรูกัน แต่คล้อยหลังไม่เท่าไหร่หันไปจูบปากกันจี๋จ๋าก็มีให้เห็นอยู่ร่ำไป เมื่อเป็นเช่นนั้น หากใครที่รีบด่วนสรุปว่าการเมืองและบ้านเมืองจะต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ระวังว่าจะหน้าแหกหมอไม่รับเย็บ ผู้มีอำนาจก็สบายใจแค่ในระดับที่ขจัดหนามตำใจออกไปชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ต้องไม่ลืมว่าบนถนนแห่งอำนาจและการเมือง ไม่ใช่แค่ว่าจะต้องต่อสู้กับศัตรูฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น พวกเดียวกันหากวันหนึ่งผลประโยชน์หรือการจัดสรรอำนาจไม่ลงตัว ก็อาจสร้างปัญหาได้ กรณี พันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ที่ไม่ยอมรับการถูกโยกจากผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติหรือพศ.ไปเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีนั่นเป็นตัวอย่าง
ไม่ว่าจะอธิบายกันแบบไหนต่อการกลับมติครม.ให้เจ้าตัวกลับไปรับตำแหน่งเดิม นี่ย่อมเป็นภาพสะท้อนของอำนาจเบ็ดเสร็จที่ไม่เด็ดขาดได้เป็นอย่างดี ประเภทที่แสดงท่าทีดุดัน จริงจังและเอาแน่ แต่สุดท้ายเมื่อไปเจอตอก็ยอมถอยแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเอาดื้อๆ มิหนำซ้ำ ยังมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีที่กำกับดูแลพศ.อีกต่างหาก นี่แหละการเมืองที่ว่าด้วยการบริหารประเทศไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่พลเอกประยุทธ์เคยพูดไว้เมื่อ 3 ปีก่อน