หุ้น กับ การเลือกตั้ง
ตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายวานนี้ พลิกสถานการณ์จากภาคเช้าอย่างกับหนังคนละม้วน เพราะปิดภาคเช้าลบไปเกือบ 5 จุด
พลวัตปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล
ตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายวานนี้ พลิกสถานการณ์จากภาคเช้าอย่างกับหนังคนละม้วน เพราะปิดภาคเช้าลบไปเกือบ 5 จุด
การทะยานปรับขึ้นกว่า 10 จุด จนสามารถขึ้นมาทะลุ 1,700 จุดเป็นครั้งที่สามและปิดเหนือจุดดังกล่าวในตอนปิดตลาดภาคบ่ายได้ เกิดจากแรงซื้อที่ถาโถมเข้ามาขานรับนายกรัฐมนตรีที่ออกมาระบุว่าจะประกาศวันเลือกตั้งในเดือน มิ.ย. 61 และจะมีการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 61
หุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน สื่อสาร และแบงก์ ผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น นักวิเคราะห์พากันประเมินอย่างลิงโลดว่าดัชนีจะแกว่งขึ้นต่อไปอีกหลายวันตลอดสัปดาห์นี้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวว่า ให้ทุกคน นักการเมือง พรรคการเมือง ขอให้อยู่ในความสงบ ซึ่งก็จะมีผลต่อการพิจารณามาตรการในการผ่อนคลายต่างๆ ด้วย
นอกจากนั้นนายกรัฐมนตรียังเสริมอีกว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ภาคเอกชนร้องขอ ซึ่งในขณะนี้การขับเคลื่อนงานเศรษฐกิจของรัฐบาลได้เดินหน้าการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเป็นหลัก และงบลงทุนที่สามารถเบิกจ่ายไปถึง 90%
การขานรับข่าวจะประกาศเลือกตั้ง มีคำถามตามมาว่า เป็นการแสดงความดีใจเกินจริงหรือเหนือจริงหรือไม่ เพราะเรื่องผลของการเลือกตั้งนั้น ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า จะทำให้หุ้นขึ้นหรือลง
โดยทั่วไปแล้ว สื่อมักจะเอาคำถามนี้เป็นประเด็นตลอดมาว่า การเลือกตั้งจะทำให้หุ้นขึ้นหรือลง คำตอบที่ได้มักจะไม่เป็นเอกฉันท์ และขัดแย้งในตัวเสมอมา
พวกที่เชื่อว่าเลือกตั้งแล้ว ราคาหุ้นหรือดัชนีจะวิ่งขึ้น เพราะมีความเชื่อว่า การได้รัฐบาลที่มาจากประชาชน และมาโดยชอบธรรมจะทำให้เศรษฐกิจเดินสะพัดกว่าปกติ เพราะการเบิกจ่ายเงินต่างๆ ของรัฐบาลก็ง่ายขึ้น และประชาชนมั่นใจจนบริโภคเพิ่มขึ้น
ส่วนพวกที่เชื่อว่าหุ้นจะตกหลังเลือกตั้ง ก็เชื่อว่า การเลือกตั้งเป็นแค่ปาหี่เท่านั้น เพราะอีกไม่นานจะยุ่งวุ่นวายตามมา และกลับไปมีรัฐประหารซ้ำอีก ไม่จบสิ้นวัฏจักรชั่วร้ายของอำนาจ เปลืองงบประมาณเปล่าๆ
เคยมีคนพยายามยกเอาข้อมูลเชิงสถิติมาอ้างว่า หลังการเลือกตั้งจำนวน 10 ครั้ง ในอดีต ไม่รวมปี 2539 ซึ่งเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง พบว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีทิศทางปรับตัวขึ้นแต่ละครั้งโดยเฉลี่ยราว 10.3% เนื่องจากมีความคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเข้ามาสานต่อนโยบายทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะเข้ามาผลักดันตลาดให้ปรับตัวขึ้นได้ในรอบนี้
คำแนะนำที่ได้ยินซ้ำซากเสมอ มักจะระบุว่า ก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นทุกครั้ง ต้องขอแนะนำหุ้น 3 กลุ่ม คือ ธนาคารพาณิชย์ กลุ่มค้าปลีก และหุ้นที่เกี่ยวกับการสื่อสาร เพื่อลงทุน เพราะเป็นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายมากที่สุด โดยเน้นหนักไปที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่มอื่นเสมอ
อีกเหตุผลสำคัญของการเลือกตั้งอยู่ที่ว่า เม็ดเงินต่างชาติยังมีแนวโน้มที่จะไหลเข้ามาในประเทศไทยอีก เพราะต่างชาติจะปลอดจากข้อห้ามในการนำเงินเข้ามาลงทุนในชาติที่เป็นเผด็จการ โดยเฉพาะกองทุนข้ามชาติบางแห่งจากยุโรป หรือสหรัฐฯ หลังจากการเลือกตั้ง เงินทุนหรือฟันด์โฟลว์ต่างชาติจะไหลบ่าเข้ามาประเทศไทยอีก และช่วยผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยพุ่งขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในทางสถิติของประเทศเกิดใหม่ (กำลังพัฒนา) ทั่วโลก เคยมีผลการศึกษาที่น่าเชื่อถือได้ (แต่อาจจะใช้การไม่ได้กับประเทศไทย) ระบุว่า ก่อนการเลือกตั้ง หุ้นจะลงเป็นประจำ
คำอธิบายน่าสนใจมาก ระบุไว้ว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนักลงทุนรายใหญ่ ต้องการลดความเสี่ยงในการลงทุน เนื่องจากไม่ทราบว่ารัฐบาลชุดใหม่มาจะมีความคิด แนวทาง ด้านเศรษฐกิจอย่างไร เพราะฉะนั้น การลงพอร์ตโฟลิโอสำหรับการลงทุนเมื่อมีความเสี่ยงทางนโยบายต่ำลง จึงเป็นสิ่งจำเป็น
ข้อสรุปข้างต้น มีส่วนถูกต้องไม่น้อย เพราะปกติแล้วรัฐบาลใหม่ของทุกประเทศ ก็จะต้องมีแนวคิดและนโยบายแตกต่างจากรัฐบาลชุดเดิม คงไม่มีรัฐบาลใหม่ประเทศใด ที่ไม่ทำอะไรใหม่ๆ เลย ผู้จัดการกองทุนจึงต้องชะลอการลงทุน จนกว่าจะรู้ผลเลือกตั้งชัดเจนหรือตั้งรัฐบาลเสร็จ
ประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนานั้น รัฐบาลมักจะมีอำนาจในการกำกับหรือกุมงบประมาณ ซึ่งเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของปรเทศ หากรัฐบาลประกาศว่า จะสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็จะได้ประโยชน์ไป เม็ดเงินของรัฐจะเข้ามาในธุรกิจนี้ หุ้นกลุ่มนี้ก็อาจจะดี ยอดขายมากขึ้น กำไรมากขึ้น ราคาหุ้นก็จะขยับขึ้น
อีกทางหนึ่ง บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นบางรายการ จะขึ้นแรงมาก เพราะมีการเก็งทางก่อน การซื้อขายหุ้น มาจากการเดาอนาคต
การเดาอนาคตดังกล่าว ขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ง่าย แต่ถามว่าแล้วจริงๆ ราคาหุ้นขึ้นเพราะการเลือกตั้งจริงหรือไม่ คำตอบคือ ไม่จริงเสมอไป เพราะว่าการคาดเดาล้วนเป็นมายาคติทั้งสิ้น
เนื่องจากจนกระทั่งถึงวันเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า หน้าตารัฐบาลหลังเลือกตั้งเป็นอย่างไร
การทะยานของราคาหุ้นวานนี้ จากข่าวเรื่องประกาศเลือกตั้ง จึงเป็นเรื่องของความรู้สึกและความเชื่อล้วนๆ หาได้มีหลักเกณฑ์แน่นอนไม่
การคาดเดา มักจะปะปนกับความมั่วเสมอ