น้ำลง เรือเกยตื้นพลวัต2015

ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ หมดแรงกระตุ้น ร่วงแรงไปที่ระดับ 1,478 จุด ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาท้ายตลาดกลับมาปิดที่ระดับ 1,485 จุด ลบไป 15.58 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายรวม โดยกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ กองทุน และพอร์ตโบรกเกอร์พากันขายสุทธิสนุกมือ มีเฉพาะรายย่อยกลุ่มเดียวที่รับเข้าไปเต็มๆ


ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ หมดแรงกระตุ้น ร่วงแรงไปที่ระดับ 1,478 จุด ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาท้ายตลาดกลับมาปิดที่ระดับ 1,485 จุด ลบไป 15.58 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายรวม โดยกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ กองทุน และพอร์ตโบรกเกอร์พากันขายสุทธิสนุกมือ มีเฉพาะรายย่อยกลุ่มเดียวที่รับเข้าไปเต็มๆ

สรุปการซื้อขาย ณ วันที่ 12 พ.ค. 58

หน่วย: ล้านบาท

นักลงทุน

ซื้อ

ขาย

สุทธิ

มูลค่า

%

มูลค่า

%

มูลค่า

%

สถาบันในประเทศ

4,683.54

12.92

5,384.66

14.85

-701.12

บัญชีบริษัทหลักทรัพย์

3,834.42

10.58

4,800.41

13.24

-965.99

นักลงทุนต่างประเทศ

9,073.65

25.03

10,271.24

28.33

-1,197.59

นักลงทุนทั่วไปในประเทศ

18,660.72

51.47

15,796.01

43.57

2,864.71

หากพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิคแบบแท่งเทียน การวิ่งลงแรง แล้วกลับขึ้นมา โดยมีไส้เทียนยาวเฟื้อย แสดงว่าโอกาสลงต่อยังเป็นทิศทางที่ต้องเกิดขึ้น ยิ่งเมื่อพิจารณาปัจจัยแวดล้อมด้วยแล้ว จะเห็นชัดว่าตลาดหุ้นหลักของโลก กำลังเดินหน้าเป็นกระแสขาลงกันต่อเนื่อง จากแรงกดดันสารพัด ไม่ว่าจะเป็นแรงขายในตลาดตราสารหนี้ที่ออกมาแรง เพราะคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะไม่ขึ้นง่าย  จากความกังวลเรื่องหนี้รัฐบาลกรีซที่ยืดเยื้อและหาทางออกไม่เจอ

ปัญหาหนี้กรีซที่ซ้ำเติมอารมณ์ห่อเหี่ยวของนักลงทุนทุกกลุ่ม ทำให้ตลาดหุ้นในยูโรโซนพากันร่วงแรง จนกระทั่งผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ช่วยหยุดยั้งการร่วงลงของดัชนีไม่ได้มากนัก แล้วแพร่กระจายไปเหมือนไฟลามทุ่ง

คำถามของตลาดขาลงที่สร้างความอึดอัดให้นักลงทุน จึงไม่ได้อยู่ที่ว่าหุ้นจะร่วงอย่างไร  ด้วยปัจจัยอะไร หรือร่วงไปที่เท่าใด แต่อยู่ที่ว่า เมื่อใดจะถึงช่วงเวลาพลิกกลับเสียที เพราะดูเหมือนว่าสัญญาณซื้อยังไม่เกิดขึ้นให้เห็นชัดเจน แม้ว่าหุ้นจำนวนมากจะเริ่มเข้าเขตสัญญาณขายมากเกินไปแล้ว

หุ้นหลายตัวที่เคยได้รับความนิยม และเป็นตัวชี้นำทิศทางของตลาด ในข้อหา “ปริมาณและราคาเคลื่อนไหวผิดปกติ”กลายเป็นหุ้นที่ร่วงแรงทำนิวไฮในรอบหลายเดือนกันทั่วหน้า

ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกเอามาเป็นกรณีให้พิจารณากัน เช่น

– ราคาหุ้น EA ทำนิวโลว์ในรอบ 4 เดือน

– ราคาหุ้น  MC ทำนิวโลว์ในรอบ 5 เดือน

– ราคาหุ้น CKP ทำนิวโลว์ในรอบ 5 เดือน

– ราคาหุ้น KTIS ทำนิวโลว์ในรอบ 1 ปี

– ราคาหุ้น CCP ทำนิวโลว์ในรอบ 11 เดือน

– ราคาหุ้น TSE ทำนิวโลว์นับแต่เข้าตลาด

– ราคาหุ้น DEMCO ทำนิวโลว์ในรอบ 3 เดือนครึ่ง

– ราคาหุ้น IFEC ทำนิวโลว์ในรอบ 6 เดือน

– ราคาหุ้น BAY ทำนิวโลว์ในรอบ 11 เดือน

ราคาหุ้นที่ร่วงลงไปเช่นนี้ หากพิจารณาจากมุมมองของผู้บริหารตลาดหุ้นไทย ถือว่า ไม่ผิดปกติ” เพราะหุ้นที่ราคาร่วงลง ไม่อยู่ในการพิจารณาว่าผิดปกติ ตลาดจะพิจารณาว่าผิดปกติ เฉพาะเมื่อราคาหุ้นวิ่งขึ้นแรงเท่านั้น ซึ่งเป็นมุมมองที่แปลกพิสดารและสุดขั้ว

ในมุมของนักวิเคราะห์ จะมองว่าปัจจัยทั้งในประเทศและนอกประเทศในขณะนี้ของตลาดหุ้นไทย เป็นปัจจัยลบทั้งสิ้น และทิศทางตลาดยังเป็นบันไดขาลง หลังจากดัชนี SET หลุด 1,500 จุด มาแล้ว ก็ส่งสัญญาณให้เกิดโมเมนตัมของตลาดเริ่มเสียความเชื่อมั่นซึ่งมุมมองดังกล่าวก็มักจะลมเพลมพัด

ช่วงยามนี้ เรามักจะได้เห็นคำชี้แนะของนักลงทุนว่าขึ้นให้ขาย ลงซื้อในตลาดซื้อขายทันที และแนะให้ทำชอร์ตในตลาดอนุพันธ์ ซึ่งหากสถานการณ์พลิกกลับ นักวิเคราะห์ก็จะปรับมุมมองให้ซื้อแหลกแบบเชียร์แขก” เช่นกัน

ปรากฏการณ์ของการขายหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีในเครือ ปตท. และหุ้นธนาคารทั้งหลายซึ่งถ่วงน้ำหนักคำนวณในดัชนีค่อนข้างมากเป็นพิเศษจากมาร์เก็ตแคปที่สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ มาก เพื่อทำให้ดัชนีร่วงแรง จึงเป็นทิศทางที่ต้องเกิดขึ้น

แม้ว่าในปัจจุบันเครื่องมือในการทำกำไรช่วงตลาดปรับฐาน พักฐาน หรือเป็นขาลง จะมีให้เลือกมากกว่าในอดีตค่อนข้างสูง แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่คุ้นเคยที่จะทำการซื้อขายกับเครื่องมือดังกล่าวได้ดีมากนัก โดยเฉพาะเครื่องมือในตลาดตราสารอนุพันธ์ หรือ TFEX การทำกำไรช่วงขาลง จึงเป็นความลึกลับสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ อย่างน่าเสียดาย ถือเป็นปัญหาเรื่องอสมมาตรของข้อมูลการซื้อขายที่ยังสร้างความเหลื่อมล้ำของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งในยามนี้คือ บรรดาเซียนทั้งหลายที่เคยได้ชื่อและสมญาว่าเป็นจอมยุทธ์ในตลาด ก็พลอยหายหน้าไปด้วย เรียกว่าเป็นขาลงของเซียนทั้งหลายด้วย

 เช่นกับกัน ตำรา รวยด้วยหุ้น” ทั้งหลายซึ่งออกมาขายกันเกลื่อนตลาดสิ่งพิมพ์ ที่นักลงทุนซึ่งมีความช่ำชองพอสมควร ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงว่า พึ่งพาไม่ได้เลย

ตัวอย่างที่สำคัญล่าสุดคือ เสียงตัดพ้อต่อว่าของ “เสี่ยป๋อง” วัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนขาใหญ่ (ใหญ่ทั้งขาและเงินหน้าตัก) ที่รู้จักกันดีว่า ขอพักงานเดินสายบรรยายหรือออกสื่อชั่วคราว หลังจากถูกข้อหา ”พาคนไปตาย” จากโลกออนไลน์โจมตี ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าเสียกำลังใจอย่างมาก เป็นรูปธรรมของช่วงเวลาแห่งความอึดอัดยามนี้

ภาวะเช่นนี้ เข้าข่ายภาษิตเก่าแก่ที่ว่า น้ำขึ้นทำให้เรือทุกลำลอย รวมทั้งเรือที่รั่ว” เพราะยามน้ำลง เรือดีๆ ก็ไร้ประโยชน์ เพราะเกยตื้นกันไปหมด 

Back to top button