พาราสาวะถี
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13-14 ตุลาคมที่ผ่านมา
อรชุน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13-14 ตุลาคมที่ผ่านมา
ขณะที่ในวันที่ 13 ตุลาคม ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนและประชาชนทั่วประเทศ ก็ได้จัดกิจกรรมเจริญจิตภาวนาเป็นเวลา 89 วินาที รำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ในช่วงเวลา 15.52 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต เป็นเวลา 365 วันที่ผ่านมา ที่คนไทยทั้งประเทศเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
ทางด้านสำนักข่าวต่างประเทศชั้นนำต่างก็พากันนำเสนอข่าวการจัดงานรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ของคนไทยกันไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการรำลึกถึงแล้ว ศาสตราจารย์นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ได้เชิญชวนให้คนไทยทุกคนได้ใช้โอกาสนี้ร่วมมือร่วมใจกัน
ในการที่จะแปลงมาเป็นพลังและอย่าเป็นเพียงแค่พูดว่าจะสืบสานพระราชปณิธาน ขอให้ทำ เพราะคำพูดเราพูดไว้ไม่นานก็หาย แต่ถ้าเราทำผลงานที่เกิดขึ้น เมื่อย้อนถึงต้นเหตุของผลงานก็คือพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ถึงเวลาที่คนไทยทุกคนจะต้องน้อมจิตใจให้ตรงกันสืบสานพระราชปณิธานด้วยการกระทำ
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้รับการยกย่องจากองค์การสหประชาชาติและยูเนสโกว่าเป็น “กษัตริย์นักพัฒนา” เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอุทิศพระองค์สร้างคุณประโยชน์มหาศาลต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ จะเห็นได้จากพระราชดำรัสหลายครั้งที่พระราชทานแนวทางจนกระทั่งสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งและเหตุการณ์วิกฤติในประเทศได้
อย่างไรก็ตาม พระราชดำรัสที่ทรงเตือนสติคนไทยทุกคนมาจนถึงทุกวันนี้คือ “รู้รักสามัคคี” โดยทรงมุ่งหวังที่จะให้ประชาชนคนในชาติรักและปรองดองกัน สร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงให้กับประเทศ แต่ห้วงระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา สามัคคีของคนไทยขาดหายไป มิหนำซ้ำ ยังส่อแสดงให้เห็นว่าจะขยายผลของความขัดแย้งแตกแยกหนักข้อเข้าไปอีก ดังนั้น ห้วงเวลาเช่นนี้ จึงน่าจะถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้มีอำนาจจะต้องหาวิธีการในการนำพาคนไทยหันมารักกันเหมือนเดิมให้ได้ ส่วนวิธีการต้องทำอย่างไรเชื่อว่าท่านรู้ดี
วกเข้าสู่ถนนสายการเมือง ในแง่ความเคลื่อนไหวของนักการเมือง (อาชีพ) ตลอดเดือนนี้เป็นที่รู้กันทุกคนต่างพร้อมใจกันไม่แสดงความเห็น เพราะถือเป็นจังหวะเวลาที่คนไทยทั้งชาติต้องการให้ผ่านพ้นงานสำคัญของประเทศไปด้วยความราบรื่นเรียบร้อย ดังนั้น ใครที่ชอบพูดเป็นต่อยหอยหรือสร้างวาทกรรมเล่นงานฝ่ายตรงข้าม จึงต้องเข้าสู่โหมดสงบเสงี่ยมเจียมตัว
แม้กระทั่งคนการเมืองในปีกของผู้ดูแลกติกาและการจัดการเลือกตั้งอย่างกกต.ชายเดี่ยว สมชัย ศรีสุทธิยากร ที่ถูกประธานกรธ. มีชัย ฤชุพันธุ์ ตอกกลับแรงๆ ก็ยังไม่ตอบโต้ โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของคืนวันที่ 12 ตุลาคม 2560 จนถึงเวลา 24.00 น. ของคืนวันที่ 29 ตุลาคม 2560 ขออนุญาตปิดเฟซบุ๊กเป็นการชั่วคราว เพื่อร่วมถวายความอาลัยแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 หลังจากนั้นจะกลับมาแสดงความคิดเห็นตามปกติ
เหตุที่หลายฝ่ายจับตามองว่าสมชัยน่าจะต้องสวนกลับมีชัยแน่ๆ เป็นเพราะเมื่อมีคนไปถามประธานกรธ.เรื่องกกต.ชายเดี่ยวสมมติเหตุการณ์หากสนช.คว่ำร่างกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งฉบับหนึ่งฉบับใด จะมีผลทำให้โรดแมปล่าช้าออกไป คำตอบที่ได้ทำให้หลายคนสะดุ้งโหยง เพราะเนติบริกรชั้นครูสมมติกลับบ้างว่า ถ้ากกต.ตกเครื่องบินตายทั้งคณะ จะทำให้โรดแมปเลือกตั้งล่าช้าออกไปหรือไม่
แม้ท่าทีที่พูดจะไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธหรือโมโห แต่ความหมายที่ต้องการสื่อมันชัดเจน ด้วยเหตุนี้ อนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงมองการโต้ตอบกันไปมาของทั้งสองคนว่า สะท้อนถึงการขาดวุฒิภาวะของคนที่มีบทบาทสำคัญทั้งคู่ ไม่ว่าทั้ง 2 จะมาจากกลไกไหน แต่ต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ
โดยอนุสรณ์มองว่า วุฒิภาวะเป็นเรื่องสำคัญมากที่ชี้ให้เห็นคนที่อยู่ในองค์กรหรือกลไกสำคัญของบ้านเมืองจะสามารถเผชิญต่อความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างได้ แต่วันนี้กลับเห็นถึงความไม่ลงรอยกัน ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการทำงานที่จะไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่คาดหวังเอาไว้ และเป็นการย้ำสภาพความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งในอนาคต
แต่ดูเหมือนว่าประเด็นการเลือกตั้งหลัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศความชัดเจนไปแล้ว รอบนี้คงไม่มีการบิดพลิ้วเกิดขึ้นอีก เพราะตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมาที่คนไทยเจอโรคเลื่อนแล้วเลื่อนอีก โรดแมปขยับกันตลอดเวลา จะพบว่าสถานการณ์ด้านอื่นๆ ก็แกว่งไกวไม่แน่นอนตามไปด้วย พลันที่ท่านผู้นำแสดงความชัดเจน การขานรับด้านบวกก็เกิดขึ้นในทันทีทันใด ภาพที่เห็นชัดคือกรณีตลาดหุ้นกับดัชนีที่วิ่งทะลุ 1,700 จุด หลังจากตื้อตันมานาน เนื่องจากหาสัญญาณบวกมารองรับไม่เจอ
เมื่อพูดออกมาแล้วกระแสตอบรับดี ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลใดที่ทำให้ท่านผู้นำต้องเสียสัตย์กับเรื่องโรดแมปอีกต่อไป ส่วนการปลดล็อคให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม ถ้ายึดโยงกันตามกฎหมายและเป็นการผ่อนคลายสถานการณ์สร้างภาพด้านบวกให้กับคณะผู้มีอำนาจได้ด้วย ก็ไม่มีเหตุอื่นใดที่จะต้องทำให้ชักช้าหรือปล่อยให้ทำกิจกรรมแบบมีเงื่อนไข
ขณะที่ฝ่ายการเมือง ช่วงเวลาเตรียมพร้อมรับมือกับกฎหมายใหม่และวิธีการเลือกตั้งแบบใหม่ ก็แทบจะไม่มีเวลาไปคิดทำกิจกรรมอื่นใด ประเภทจะก่อกวน ปลุกระดมโค่นล้มรัฐบาลคสช.อันนั้นไม่ต้องพูดถึง นักการเมืองอาชีพต่อให้เป็นฝ่ายตรงข้ามก็ไม่กล้า เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้มองการต่อต้านอำนาจเผด็จการเป็นด้านหลัก ขอแค่ได้พื้นที่ที่ตัวเองต้องการกลับมาอย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง จึงไม่ใช่เรื่องที่ผู้มีอำนาจจะต้องไปกังวลและเชื่อว่าก็น่าจะรู้นิสัยของคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี