มาตรฐานบัญชียุคดิจิทัล
อิทธิพลจากพลวัตเทคโนโลยียุคดดิจิทัล เข้ามามีผลต่อการดำเนินธุรกิจและการจัดทำรายงานทางการเงิน ทำให้เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ (Robotic Process Automation) และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล (Analytical tools) ถูกนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการรายงานทางการเงิน ทำให้นักบัญชีและผู้บริหาร จำเป็นต้องทำความเข้าใจมาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่ เรื่องการรายงานรายได้การดำเนินธุรกิจ ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และสัญญาเช่า เพื่อการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พลวัตปี 2017 : สุภชัย ปกป้อง (แทน)
อิทธิพลจากพลวัตเทคโนโลยียุคดดิจิทัล เข้ามามีผลต่อการดำเนินธุรกิจและการจัดทำรายงานทางการเงิน ทำให้เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ (Robotic Process Automation) และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล (Analytical tools) ถูกนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการรายงานทางการเงิน ทำให้นักบัญชีและผู้บริหาร จำเป็นต้องทำความเข้าใจมาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่ เรื่องการรายงานรายได้การดำเนินธุรกิจ ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และสัญญาเช่า เพื่อการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
งานสัมมนาประจำปี PwC Thailand Symposium 2017 หัวข้อ “รู้ทันการเปลี่ยนแปลงและเตรียมตัวรับมือความท้าทายทางบัญชีในยุคดิจิทัล” (Dealing with accounting challenges, thriving on disruption) มีการสะท้อนมาตรฐานบัญชียุคดิจิทัลอย่างน่าสนใจว่า…
ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามามีอิทธิพลต่อลักษณะการทำธุรกิจ ส่งผลให้การจัดทำรายงานทางการเงินเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ หลายกิจการมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานมากขึ้น อาทิ ระบบอัตโนมัติ (Robotic Process Automation) และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล (Analytical tools) เป็นต้น
“เทคโนโลยีเข้ามาช่วยการจัดทำบัญชี วิเคราะห์ ตรวจจับความผิดปกติของข้อมูล ช่วยลดการทำงานซ้ำๆ หรืองานประเภท Routine งานที่ใช้เวลามากหรือใช้การตัดสินใจน้อย แต่เทคโนโลยีไม่สามารถเข้ามาแทนที่ การทำงานของนักบัญชีได้อย่างเต็มที่ เพราะความรับผิดชอบและความสามารถในการตัดสินใจ ที่ต้องอาศัยประสบการณ์ที่เป็นหัวใจหลักของการทำงานด้านบัญชีอยู่”
สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป หลังเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินกิจการและมีอิทธิพลต่อความต้องการของลูกค้า ทำให้การรายงานทางการเงินเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ มีการนำเสนอแนวคิดและหลักการใหม่ๆ เพื่อสะท้อนภาพที่แท้จริงของการดำเนินธุรกิจและรายการทางธุรกิจที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และด้วยมุมมองที่มีความเที่ยงธรรมมากขึ้น ทั้งในส่วนผลประกอบการของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือผลประกอบการด้านอื่นๆ
มาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ การรายงานรายได้ในการดำเนินธุรกิจของกิจการ จากเดิมรายได้จะถูกรับรู้ตามหลักการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนในสินค้าไปยังผู้ซื้อ แต่ของใหม่รายได้จะถูกรับรู้ตามหลักการการควบคุม โดยต้องสะท้อนถึงการโอนการควบคุมสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า ด้วยจำนวนเงินที่สะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของสินค้าหรือบริการที่ได้ทำการโอนไปแล้ว เพื่อให้เกิดการเข้าใจได้และการเปรียบเทียบกันได้ของงบการเงิน
ส่วนของค่าเผื่อการด้อยค่าของลูกหนี้ (ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน อนาคตจะถูกกำหนดให้รับรู้เร็วขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางปฏิบัติปัจจุบัน โดยกิจการต้องมีการประมาณการขาดทุน ที่อาจเกิดขึ้น ณ ขณะที่มีการรับรู้รายการลูกหนี้ตั้งแต่เริ่มแรก โดยต้องพิจารณาร่วมกับข้อมูลที่เป็นการคาดการณ์ไปยังอนาคต (Forward-looking information) เช่น ข้อมูลสภาวะเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน หรืออัตราการว่างงาน เพื่อพิจารณาบันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของลูกหนี้ด้วย
จึงคาดการณ์ว่า “จะมีการรับรู้ค่าเผื่อการด้อยค่าของลูกหนี้ที่เร็วขึ้นและรับรู้ด้วยจำนวนเงินสูงขึ้น”
การจัดทำงบการเงินเกี่ยวกับสัญญาเช่า ด้านผู้เช่าก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน จากเดิมกำหนดให้กิจการต้องจัดประเภทสัญญาเช่า ระหว่างสัญญาเช่าการเงินและสัญญาเช่าดำเนินงาน มีวิธีการทางบัญชีที่แตกต่างกัน แต่ของใหม่ ไม่มีการจัดประเภทสัญญาเช่าอีกต่อไปและต้องรายงานตามข้อกำหนดที่ให้แสดงหนี้สินตามสัญญาเช่าในงบแสดงฐานะการเงินของผู้เช่า
“หนี้สินที่เกิดจากสัญญาเช่าจะเพิ่มขึ้นมา และส่งผลกระทบอย่างเป็นสาระสำคัญต่ออัตราส่วนทางการเงินของหลายกิจการ เช่น ทำให้อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset: ROA) ลดลง และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio: D/E ratio) เพิ่มขึ้น”
พัฒนาการทางการบัญชีที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริงของธุรกิจ ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นนี้ ทำให้นักบัญชีต้องเร่งศึกษา ทำความเข้าใจ และตามมาตรฐานเหล่านี้ให้ทัน ยิ่งไปกว่านั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องเร่งสร้างนักบัญชีที่มีความรู้ ความสามารถเพียงพอกับความต้องการของตลาด
นอกจากนี้กิจการที่มีหุ้นซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำเป็นต้องพิจารณาถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อรายงานทางการเงินของกิจการและทำการสื่อสารข้อมูลเหล่านี้ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องภายนอกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในการรายงานตัวเลขรายได้ และผลการดำเนินงานอื่นๆ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่นต่อบริษัทในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ปัจจุบันปริมาณข้อมูลมีจำนวนมากมายมหาศาลและรายการมีความซับซ้อนมากขึ้น ผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจและเลือกวิธีการจัดการที่เหมาะสมกับสภาพกิจการ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ อาทิ ระบบอัตโนมัติ (Robotic Process Automation) และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล (Analytical tools) ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถเก็บรักษาข้อมูลที่สำคัญ เพื่อวัตถุประสงค์ในการรายงานทางการเงินได้
“อิทธิพลของพลวัตเทคโนโลยียุคดิจิทัล ”จึงเป็นสิ่งที่ท้าทาย ทั้งนักบัญชีและผู้บริหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แม้ว่าเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความรวดเร็วเรื่องการตัดสินใจกับการรับมือและจัดการกับความเปลี่ยนแปลง มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน..!?