พาราสาวะถี
เวลา 07.00 น. วันนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ บริเวณท้องสนามหลวง เขตพระนคร โดยเสด็จฯโดยรถยนต์พระที่นั่งจากวังสระปทุม ไปยังบริเวณท้องสนามหลวง
พาราสาวะถี : อรชุน
เวลา 07.00 น. วันนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ บริเวณท้องสนามหลวง เขตพระนคร โดยเสด็จฯโดยรถยนต์พระที่นั่งจากวังสระปทุม ไปยังบริเวณท้องสนามหลวง
มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการฯ เฝ้าฯรับเสด็จ จากนั้นรองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา ภริยานายกฯทูลเกล้าฯถวายพวงมาลัย ต่อจากนั้นเสด็จเข้าบริเวณมณฑลพิธี ประทับพระราชอาสน์ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายสูจิบัตร
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงานฯ เสด็จฯ ไปทรงตัดแถบแพรเปิดนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วงดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ เสด็จขึ้นพระที่นั่งทรงธรรม จากนั้นเสด็จไปทอดพระเนตรนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เสด็จฯไปยังทับเกษตร ทอดพระเนตรนิทรรศการการสัมผัสของผู้พิการทางสายตา และเสด็จพระราชดำเนินกลับ
หลังจากนั้นจะมีการเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมนิทรรศการโดยทันที ซึ่งทางรัฐบาลคาดการณ์ว่าจะมีประชาชนสนใจเดินทางมาเข้าชมไม่น้อยกว่าวันละ 56,000 คน เปิดให้ชมได้ตั้งแต่เวลา 07.00-22.00 น. แต่ดูจากกระแสของประชาชนที่ต้องการเข้าไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ อลังการของพระเมรุมาศและสิ่งปลูกสร้างที่ถวายพระเกียรติแด่พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของทุกคน ระยะเวลาดังกล่าวน่าจะไม่เพียงพอ
ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงได้ประกาศไว้ล่วงหน้าแล้วว่า หากมีจำนวนผู้เข้าชมมากเกินกว่าที่ประเมินไว้ ก็พร้อมที่จะขยายเวลาในการเข้าชมของประชาชนเบื้องต้นอาจจะให้จบที่เที่ยงคืน แต่หากยังคงมีความสนใจกันมากก็พร้อมที่จะพิจารณาเปิดให้เข้าชมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานก็ประกาศความพร้อมด้วยความเต็มใจว่า ยินดีที่จะทำเพื่อให้ประชาชนทุกคนมีความสุข
หันกลับมาดูความเคลื่อนไหวทางการเมือง อับจนหนทางหรือมันพูดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้กันแน่ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีต่างประเทศ จึงไล่ให้นักข่าวไปถาม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เองว่าได้ยื่นข้อลี้ภัยกับประเทศอังกฤษหรือไม่ ได้ยินคำตอบแบบนี้มันสะท้อนให้เห็นอะไรได้หลายๆอย่าง ก็เหมือนที่บอกไว้ยิ่งไม่รู้ว่ายิ่งลักษณ์อยู่ไหน ภาวะกดดันทั้งหลายแหล่มันถาโถมเข้าใส่รัฐบาลเต็มๆ
แม้กระทั่ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังของขึ้นเมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ โดยโยนไปเป็นการนำเสนอที่ผิดพลาดของสื่อและโซเซียลมีเดีย ที่อ้างว่าอดีตนายกฯหญิงพำนักอยู่ในประเทศนั้นประเทศนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริง ต้องรอให้ประเทศหนึ่งประเทศใดยืนยันมาเสียก่อนว่ายิ่งลักษณ์พักอาศัยอยู่ที่นั่นจริงหรือไม่ นี่แหละ บางทีบางเรื่องที่รู้ทั้งรู้แต่มันพูดไม่ได้ย่อมทำให้เกิดความอึดอัดเป็นธรรมดา
ส่วนประเด็นเรื่องการปลดล็อคพรรคการเมืองทำกิจกรรม หลังจากที่ปล่อยให้พี่ใหญ่แจกแจงนักข่าวไปก่อนหน้า บิ๊กตู่ก็ได้เวลาชี้แจงด้วยตัวเอง ไม่ได้มีอะไรใหม่ เพราะท่านผู้นำยืนยันว่าในฐานะหัวหน้า คสช.ได้ให้หลักการบ้านเมืองต้องสงบเรียบร้อยปลอดภัย ไม่เกิดความวุ่นวายเพราะการเมือง และต้องดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ขอให้เชื่อมั่นตนรู้และคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่ ซึ่งก็เห็นอยู่แล้วว่าวันนี้ยังไม่เรียบร้อย ยังมีการพูดจาให้ร้ายกันเยอะแยะไปหมด
ไม่เพียงเท่านั้น ท่านผู้นำยังบอกอีกว่า เรื่องปลดล็อกอย่ามาถามบ่อย ทำให้คิดไม่ออกเลยช้า ให้ตนได้คิดสรุปออกมาก่อนแล้วจะเปิดเผยทีเดียว ทันเวลาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปห่วงหรือกลัวว่านักการเมืองจะทำอะไรทันหรือไม่ทัน ต้องนึกถึงคนเก่า คนใหม่ พรรคใหม่ พรรคเก่า พรรคเล็ก พรรคใหญ่ พรรคกลาง แต่ต้องมีมาตรการที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
ก่อนที่จะตอกย้ำว่า วันนี้นักการเมืองไม่ได้ทำอะไรกันเลยเหรอ ทำกันอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้โครมครามใช่หรือไม่ หรือว่าไม่ได้กระดิกกระเดี้ยอะไรกันเลย 3 ปีที่ผ่านมา เขาก็ทำของเขา เพียงแต่ไม่เปิดเผย ตรงนี้คงถือเป็นงานด้านการข่าวของฝ่ายรัฐและความมั่นคงที่รายงานให้ท่านผู้นำรู้ความเคลื่อนไหวของนักการเมือง ซึ่งนั่นเป็นคนละเรื่องกับการเตรียมความพร้อมตามกฎหมายพรรคการเมือง
เหมือนที่หลายคนบอก การปลดล็อกนั้นไม่ได้หมายความว่าสามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ในเมื่อความสงบสุขเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลคสช. ก็ต้องมีเงื่อนไขพิเศษว่าทุกพรรคทำอะไรได้แค่ไหน ก็อย่างที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ บอกกับนักข่าวล่าสุด การปลดล็อกล่าช้าจะกระทบต่อการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ แต่ไม่ถึงขั้นตั้งพรรคไม่ได้
ต้องเข้าใจว่าเนติบริกรชั้นครูย่อมรู้ดีว่ามีปัญหาอะไรและจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร ไม่เพียงเท่านั้นการที่มีตำแหน่งในคสช.ด้วย สิ่งที่เป็นอุปสรรคตามข้อเรียกร้องของพรรคการเมืองซึ่งยึดหลักการของกฎหมายเป็นสำคัญ มีชัยย่อมมีข้อเสนอแนะต่อผู้มีอำนาจไปแล้ว เพียงแต่ว่าท้ายที่สุดมันขึ้นอยู่กับ “ความสบายใจ” ของผู้กุมอำนาจ ถ้ายังระแวงก็ต้องถูไถกันไปอย่างนี้ก่อน จากนั้นค่อยไปใช้มาตรการจากอำนาจที่มีแก้ไขให้ทุกอย่างเกิดความเป็นธรรม โดยเฉพาะกับพวกกองเชียร์ที่รอตั้งพรรคการเมือง
เรื่องสนิมเกิดแต่เนื้อในตน หากเป็นสมัยก่อนที่คนดียึดถือคุณธรรมเป็นที่ตั้งประเด็นลูกสาวมีชัยได้รับการแต่งตั้งนั่งเป็นเลขาฯพ่อตัวเองในคสช. คงจะมีผู้คนโดยเฉพาะคนที่มีต้นทุนทางสังคมออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องถามหาสำนึกและความรับผิดชอบ แต่น่าเสียดายที่วันนี้พลังแห่งคนดีเหล่านั้นพร้อมใจที่จะเงียบ ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรจากที่เคยกล่าวหาคนยากจนซึ่งตอบโพลทั้งหลายก่อนหน้ากรณีที่ว่ายอมรับได้หากมีการทุจริตบ้างแต่ประเทศพัฒนา
กรณีนี้จริงอย่างที่ ศรีสุวรรณ จรรยา ว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กันและกันของหัวหน้าคสช.และประธานกรธ. โดยใช้เงินภาษีของประชาชนเป็นค่าตอบแทน ผ่านกลไกที่แยบยล การใช้อำนาจของหัวหน้าคสช.และประธานกรธ.จึงเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของรัฐ และขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง 2551 และยังขัดต่อกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 โดยชัดแจ้ง แต่คำถามคือใครหรือหน่วยงานใดจะ (กล้า) ตรวจสอบและ (กล้า) เป็นผู้เอาผิด