พาราสาวะถี
ไม่บ่อยครั้งที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่จะมีความเห็นทางการเมืองไปในทิศทางเดียวกัน แต่ระยะหลังจากการที่ต้องเฝ้ารอและต่อสู้กับกระบวนท่าของผู้มีอำนาจจากการรัฐประหาร ดูเหมือนว่า ทั้งสองพรรคจะมีแนวคิดและข้อเสนอแนะที่ใกล้เคียงหรือบางครั้งเหมือนและสอดคล้องต้องกันโดยมิได้นัดหมาย ล่าสุดกับข่าวคราวการปรับครม.ประยุทธ์ 5 ความเห็นก็เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
อรชุน
ไม่บ่อยครั้งที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่จะมีความเห็นทางการเมืองไปในทิศทางเดียวกัน แต่ระยะหลังจากการที่ต้องเฝ้ารอและต่อสู้กับกระบวนท่าของผู้มีอำนาจจากการรัฐประหาร ดูเหมือนว่า ทั้งสองพรรคจะมีแนวคิดและข้อเสนอแนะที่ใกล้เคียงหรือบางครั้งเหมือนและสอดคล้องต้องกันโดยมิได้นัดหมาย ล่าสุดกับข่าวคราวการปรับครม.ประยุทธ์ 5 ความเห็นก็เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
คนของพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ มองมุมเดียวกันว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องปรับใหญ่และต้องปรับในส่วนของทีมเศรษฐกิจและกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด โดยพุ่งเป้าไปที่ 2 รัฐมนตรี 2 กระทรวงนั่นก็คือ “บิ๊กฉัตร” พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ อภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
จากสิ่งที่ประเมินอันเป็นผลมายังข้อเสนอให้ปรับเปลี่ยนในส่วนของสองกระทรวงดังว่า มันเพราะปัญหาเรื่องค่าครองชีพหรือต้นทุนชีวิตของผู้มีรายได้น้อยคนยากคนจนไม่ได้รับการแก้ไข เช่นเดียวกับเรื่องของราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำต่อเนื่อง โดยในรายของรัฐมนตรีเกษตรฯนั้นเวลานี้คงจะมีประเด็นของการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมพ่วงเข้ามาด้วย
ทว่าในส่วนของผู้นำที่ยืนยันว่าปรับครม.แน่แค่ยังไม่รู้ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ ขอให้ใจเย็น โดยบอกว่าตัวเองเป็นคนปรับ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรี เพราะจะต้องศึกษางานทุกกระทรวงและให้แนวทาง มอบนโยบายว่าสิ่งไหนจะคู่กัน จับต้นชนปลายให้เกิดการบูรณาการในการทำงานทั้งหมด พร้อมกับยกตัวอย่างในการบริหารกองทัพบกที่ผ่านมา
หลายคนจึงอดสงสัยไม่ได้มันจะเทียบกันได้อย่างไร ในเมื่องานของกองทัพที่ท่านดูแลทั้ง 17 เหล่านั้น มันเป็นการออกคำสั่งให้ซ้ายหันขวาหัน ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เรียกได้ว่ามันมีปัจจัยหรือตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องน้อย แต่กับรัฐมนตรีที่จะมาคุมงานแต่ละกระทรวงนั้น มันหลากหลายมากกว่า ที่สำคัญท่านผู้นำคงสัมผัสได้ด้วยตัวเอง บางเรื่องขนาดมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยังสั่งข้าราชการให้ทำไม่ได้
เพราะบางเรื่องมันต้องพิจารณาในแง่ของข้อกฎหมายมาประกอบ ข้าราชการจำนวนไม่น้อยไม่อยากเข้าคุกเข้าตะราง ดังนั้น มันจึงเกิดภาวะเกียร์ว่างในงานหลายๆเรื่อง จนบางเรื่องต้องเดือดร้อนท่านผู้นำใช้มาตรา 44 เข้าไปกระทุ้ง เหมือนอย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับกระทรวงแรงงานกรณีอธิบดีกรมการจัดหางานนั่นปะไร น่าจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
หลังการถูกย้ายตามมาด้วยการยื่นใบลาออกของจับกัง 1 หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาทันทีทันใดว่า สาเหตุเป็นเพราะอธิบดีคนที่ถูกย้ายปฏิเสธที่จะเดินหน้าจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตา ราคาเครื่องละ 1 แสนบาท วงเงินจัดซื้อ 1 พันล้านบาท เพื่อนำมาตรวจพิสูจน์สัญชาติของแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะพวกแรงงานประมงที่พบว่ามีปัญหาในการตรวจลายนิ้วมือ
แม้ว่าจะมีคำสั่งของหัวหน้าคสช.ตามมาอีก 1 ฉบับแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาการเก็บข้อมูลพิสูจน์ตัวบุคคลของแรงงานต่างด้าวใน 22 จังหวัดที่มีพื้นที่ติดทะเลคือ กระบี่ จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชุมพร ตราด ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พังงา เพชรบุรี ภูเก็ต ระนอง ระยอง สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และสุราษฎร์ธานี
แน่นอนว่า คำสั่งดังกล่าวสอดรับกับการย้ายอธิบดีกรมการจัดหางานด้วยมาตรา 44 และจะรองรับความชอบธรรมในการจัดซื้อเครื่องสแกนม่านสายตาดังกล่าว ซึ่งปมที่ว่าบรรดาผู้นำแรงงานและองค์กรภาคเอกชนที่ดูแลเรื่องปัญหาแรงงานต่างด้าวก็ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงความจำเป็นในการจัดซื้อด้วย แต่หากพิจารณาจากสิ่งที่ได้ดำเนินการกันอยู่ คงจะมีใครขวางยาก ทักท้วงไปก็ไร้ประโยชน์
วกกลับเข้าสู่ประเด็นปรับครม. ไม่ใช่เฉพาะสองพรรคใหญ่เท่านั้นที่เห็นว่ากระทรวงใดบ้างที่เป็นปัญหา แม้แต่พวกเดียวกันอย่างกปปส.ก็เสนอให้ท่านผู้นำปรับเปลี่ยนและโฟกัสเจาะจงไปที่กระทรวงเกษตรฯเสียด้วย โดย ถาวร เสนเนียม เห็นว่า ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ หากรัฐมนตรีเกษตรฯและการยางแห่งประเทศไทยหรือกยท.ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ทำไม่ได้ นายกฯต้องปรับออกไป
ไม่เพียงเท่านั้นแกนนำกปปส. ยังสาธยายความผิดพลาดของบิ๊กฉัตรเพื่อนรักของบิ๊กตู่ ตั้งแต่สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วยว่า นำเข้าน้ำมันปาล์ม 5 หมื่นตัน ตอนนั้นราคาปาล์มดิบอยู่ที่ 5.50 บาทต่อกิโลกรัม พอนำเข้าน้ำมันปาล์ม ทำให้ราคาปาล์มร่วงเหลือ 2.50 บาทต่อกิโลกรัม แต่ไม่รับผิดชอบอะไร มิหนำซ้ำ ท่านผู้นำยังอุ้มมาเป็นรัฐมนตรีเกษตรฯซึ่งใหญ่กว่าเดิม
ประสาคนรักกันถาวรเลยบอกไปยังบิ๊กตู่ที่ชอบอุ้มพี่และเพื่อนรักว่า ถ้าหากเข้าสู่การเลือกตั้งจะได้เห็นบทบาทนักการเมืองตรวจสอบทุกเรื่องจริงจังและศักดิ์สิทธิ์ คอยดูคนพวกนี้จะได้เดินขึ้นศาลกันบ้าง สิ่งสำคัญคือรัฐบาลไม่ควรเอาความเดือนร้อนมาโยงการเมือง แม้รัฐบาลคุมกำลังทหาร ถือกฎหมาย แต่ถึงจุดหนึ่งคนไม่กลัวตายไม่กลัวตะราง
ก็น่าคิดอยู่ไม่น้อย คนอย่างถาวรซึ่งใกล้ชิดกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ซึ่งเคยขอร้องชาวสวนยางไม่ให้ออกมากดดันรัฐบาลเพราะเป็นพวกเดียวกัน ยังไร้ความอดทนและออกมาชักธงรบเสียเอง หากไม่ใช่การแบ่งบทกันเล่น นี่ย่อมถือเป็นสัญญาณที่ไม่สู้ดีต่อท่านผู้นำอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ก็มีคนสะกิดว่าอย่าด่วนสรุป เพราะวันที่บิ๊กตู่ไปตรวจน้ำท่วมที่นครศรีธรรมราช แต่เครื่องบินไปลงที่สนามบินสุราษฎร์ธานี มีคนตาดีแอบเห็นว่าท่านผู้นำมีการพบกับหัวโจกกปปส.ด้วย เพียงแค่ไม่ปรากฏเป็นข่าวเท่านั้น
ขณะที่นักการเมืองส่วนใหญ่หนุนให้ปรับครม. ปรากฏว่า นพดล ปัทมะ แกนนำพรรคเพื่อไทย กลับมองอีกมุมว่า การนำผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญมาทำงานเป็นเรื่องที่ดี แต่การปรับครม.ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการเรียกความเชื่อมั่น เพราะนักลงทุนและประชาชนดูจากการทำงานช่วงที่ผ่านมาว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่ ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างไร ซึ่งประชาชนต้องเป็นผู้ตัดสินใจว่าให้ผ่านหรือไม่ พูดง่ายๆคือ ถ้าไม่ผ่านคนที่จะอาสาเข้ามาใครจะกล้าเอาชื่อเสียงมาทิ้ง นี่เป็นปริศนาชวนให้คิดอยู่ไม่น้อย