พาราสาวะถี

เป็นผู้นำที่มาจากการรัฐประหารมันอยู่ที่ความเด็ดขาด เพียงแต่ว่าบางอย่างสิ่งที่ท่านสั่งอาจจะปฏิบัติได้เฉพาะผู้ใต้บังคับบัญชา หากเป็นคนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสื่อแล้ว คงจะมาสั่งให้ซ้ายหันขวาหันไม่ได้ ดังนั้น การที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกกับนักข่าวที่วัดนวลนรดิศวันก่อน ห้ามถามเรื่อง พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล ไขก๊อกพ้นรัฐมนตรีแรงงานอีก น่าจะยิ่งเป็นการเปิดช่องให้ต้องถามกันถี่ขึ้น


พาราสาวะถี : อรชุน

เป็นผู้นำที่มาจากการรัฐประหารมันอยู่ที่ความเด็ดขาด เพียงแต่ว่าบางอย่างสิ่งที่ท่านสั่งอาจจะปฏิบัติได้เฉพาะผู้ใต้บังคับบัญชา หากเป็นคนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสื่อแล้ว คงจะมาสั่งให้ซ้ายหันขวาหันไม่ได้ ดังนั้น การที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกกับนักข่าวที่วัดนวลนรดิศวันก่อน ห้ามถามเรื่อง พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล ไขก๊อกพ้นรัฐมนตรีแรงงานอีก น่าจะยิ่งเป็นการเปิดช่องให้ต้องถามกันถี่ขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น ท่านผู้นำยังออกอาการดุและโมโหต่อหน้านักข่าว ถึงความไม่พอใจต่อการกระทุ้งรายวันของนักการเมืองและพรรคการเมืองเรื่องปลดล็อคให้ทำกิจกรรม ด้วยวลีเด็ด “อย่ามาทวงถามบ่อยเพราะรำคาญ” นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้นำจากอำนาจพิเศษและคนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ความอดทนของรายแรกจะมีต่ำกว่า

จะว่าไปก็ไม่ใช่ความผิดของทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายรัฐประหาร ท่านผู้นำในฐานะคนกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็มีคาถาของท่านที่ท่องอยู่ตลอดเวลาบ้านเมืองต้องสงบ ทุกอย่างต้องเรียบร้อยราบคาบจึงจะปลดล็อคให้นักการเมืองทำกิจกรรมกันได้ ขณะที่ฝ่ายการเมืองเมื่อมีกฎหมายที่มีผลบังคับใช้แล้ว ก็ต้องท่องบทขอพื้นที่เพื่อทำกิจกรรม เตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง

ส่วนคนกลางอย่างประชาชน หนีไม่พ้นแบ่งเป็นหลายพวกหลายกลุ่ม ฝ่ายหนุนเชียร์คณะรัฐประหารก็เห็นด้วยทุกประการทุกอย่างที่ท่านผู้นำพูดมาถูกหมด ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็ต้องมองไปคนละทาง ที่อึดอัดเป็นที่สุดหนีไม่พ้นฝ่ายเป็นกลาง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่าใครจะทะเลาะกับใคร แต่สิ่งที่อยากได้อยากเห็นเป็นที่สุดคือ จะทำอย่างไรให้อยู่ดีกินดี

พิสูจน์กันแล้วว่า การเมืองนิ่งบ้านเมืองมีเสถียรภาพไม่ใช่ตรรกะที่ถูกต้องว่าจะทำให้เศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมาเป็นบทพิสูจน์ ทุกอย่างอยู่ในความสงบ หัวหน้าคณะรัฐประหารลงมือนำทีมบริหารประเทศเอง มีมือดีทางเศรษฐกิจมาร่วมงาน พร้อมกองหนุนอันเป็นบรรดาเจ้าสัวและมหาเศรษฐีคนดัง แต่เศรษฐกิจของประเทศก็ยังไม่กระเตื้อง

เรื่องแบบนี้มันจึงอยู่ที่กึ๋นล้วนๆ จะโทษว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดีนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นแบบนั้นไฉนเพื่อนบ้านอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงดูดีกว่าประเทศไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งบรรดาประเทศที่เคยเป็นลูกไล่ทั้งหลาย จึงต้องหันมาดูปัจจัยอื่นนอกเหนือจากความมั่นคงทางการเมืองแล้ว สิ่งที่เรียกว่าความเป็นประชาธิปไตยและการยอมรับจากต่างชาติมีส่วนหรือไม่

สิ่งนี้คนที่รู้ดีที่สุดก็คือบิ๊กตู่ เพราะท่านสารภาพเองรู้ว่าที่มาของตัวเองเป็นอย่างไร และหลายประเทศไม่ได้ให้การยอมรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ ที่เห็นเด่นชัดต่อข้อจำกัดนี้ คงเป็นการที่หัวหน้าคสช.รีบไปประกาศต่อหน้าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทั้งที่ไม่ได้ถามว่า ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า ก่อนที่จะกลับมาตอกย้ำในประเทศไทยอีกครั้งว่าจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2561

แต่พอคนทวงถามเรื่องการปลดล็อคพรรคการเมืองทำกิจกรรมหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ ท่านกลับออกอาการหงุดหงิด รำคาญ มันจึงเป็นเรื่องที่สวนทางกับสิ่งที่ได้ประกาศออกไป ซึ่งจะว่าไปแล้วความจริงคนโดยทั่วไปก็ไม่ได้คาดหวังว่าการเลือกตั้งจะต้องเป็นไปตามที่ท่านผู้นำย้ำในเงื่อนเวลาโรดแมป เพราะมันถูกเลื่อนมาเหมือนที่ท่านเคยประกาศว่าจะปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเองทุกวันขึ้นปีใหม่นั่นแหละ

อย่างไรก็ตาม ที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ ตามคำยืนยันของท่านผู้นำนั่นก็คือการปรับครม. เพราะท่านยอมรับเองว่าคิดในเรื่องนี้ เหลือแค่จะปรับเล็กหรือใหญ่ปล่อยให้นักข่าวไปสืบค้นแสวงหาจากคุณแหล่งข่าวกันเอาเองก็แล้วกัน แต่ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ความน่าสนใจมันอยู่ที่ว่าปรับในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่ออะไรมากกว่า สร้างภาพลักษณ์ที่ดีหรือเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง

หากบอกว่าเป็นการปรับเพื่อภาพลักษณ์ สิ่งที่เป็นคำถามตามมาคือ ใครจะเป็นผู้นำภาพลักษณ์ที่ดีดังว่ามาสู่รัฐบาลคสช. กับห้วงเวลาที่เหลือใครจะกล้าเปลืองตัวขันอาสามาร่วมรัฐนาวารัฐประหาร หากตัดสินใจเข้ามาย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่จะได้มีแค่ถูกด่ากับเสมอตัว เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นผู้วิเศษที่เข้ามาแล้วพลิกทุกอย่างโดยเฉพาะสถานการณ์เลวร้ายด้านเศรษฐกิจให้ดีวันดีคืน ฟื้นกลับในเร็ววันนั่นก็อีกเรื่อง

เมื่อสถานการณ์มันไม่ใช่ คนมีฝีมือหรือคนดีดังว่า คงเลือกที่จะขอยืนอยู่เบื้องหลังเหมือนที่ผ่านมา ทั้งไม่เจ็บตัวและยังสามารถแสวงหาผลประโยชน์อันพึงจะได้รับดีกว่า ถ้าเป็นโจทย์เช่นนี้ นั่นก็หมายความว่า การปรับครม.ที่จะเกิดขึ้น ย่อมหวังผลในการเลือกตั้ง เพื่อต่อยอดในการกลับมาบริหารประเทศอีกรอบ ตามแนวทางเปิดช่องนายกรัฐมนตรีคนนอกในรัฐธรรมนูญ

กับห้วงเวลาที่ฝุ่นยังตลบ จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าใครจะเข้ามารับเก้าอี้เสนาบดีกันบ้าง ข่าวที่บอกมีสนช.บางรายเตรียมไขก๊อกเพื่อขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีนั่นก็ต้องฟังหูไว้หู ที่ต้องจับตาดูมากกว่าเห็นจะเป็นบรรดาอดีตนายทหารที่เกษียณอายุราชการกันไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมทั้งพวกคนที่ไปนั่งในบอร์ดของรัฐวิสาหกิจต่างๆ มากกว่า

ถ้าใครยื่นหนังสือลาออกในช่วงนี้ อาจถูกจับผิดว่าแต่งตัวเตรียมเข้าร่วมรัฐบาล แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง ขณะที่เงื่อนเวลาว่าด้วยการปรับ ฟังจากเสียงบิ๊กตู่กับคำถามที่ว่าภายในปีนี้หรือไม่ สิ่งที่บอกว่า “มั้ง” น่าจะเป็นสัญญาณว่าเป็นไปตามนั้น หลังจากหายฝุ่นตลบแล้วคงจะได้เห็นทิศทางที่ชัดเจนขึ้น บวกกับตัวบุคคล ที่บรรดาคอการเมืองยังมองว่า โอกาสที่จะเป็นอดีตนายทหารคงมากกว่าพลเรือน

กลายเป็นคู่กัดกันมาตลอดระหว่าง สมชัย ศรีสุทธิยากร กับ มีชัย ฤชุพันธุ์ กับปมที่ว่าด้วยเนื้อหาของรัฐธรรมนูญและร่างกฎหมายลูก ที่เห็นด้วยกับฝั่งกกต.ชายเดี่ยวคงเป็นความเห็นล่าสุดเรื่องร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. กรณีเบอร์ผู้สมัครกับเบอร์พรรคไม่ใช่เบอร์เดียวกัน ปัญหาสารพัดที่งัดมาบอกนั้นมันจริงแท้แน่นอน โดยเฉพาะที่บอกว่า ร่างกฎหมายกันออกมาพาประเทศถอยหลังเข้าคลอง แต่น่าเสียดายตรงที่คราวเลือกตั้งเมื่อกุมภาพันธ์ 2557 หากกกต.ทุ่มเททำงานเต็มความสามารถ บ้านเมืองคงไม่เดินมาถึงจุดนี้

Back to top button