พาราสาวะถี
ปรับแน่ปรับเล็กหรือปรับใหญ่ไม่มีใครเดาใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ แต่หากฟังเสียงจาก พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีที่ปกติไม่ค่อยจะให้สัมภาษณ์ประเด็นทางการเมืองก็น่าถอดรหัสไม่น้อย นายกฯมาถามความเห็นเรื่องปรับครม.แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นการหยั่งเชิงถามในนามส่วนตัวบิ๊กจินว่าถ้าถูกปรับออกจะรู้สึกอย่างไร หรือคิดว่าควรจะปรับรัฐมนตรีรายใดบ้าง
อรชุน
ปรับแน่ปรับเล็กหรือปรับใหญ่ไม่มีใครเดาใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ แต่หากฟังเสียงจาก พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีที่ปกติไม่ค่อยจะให้สัมภาษณ์ประเด็นทางการเมืองก็น่าถอดรหัสไม่น้อย นายกฯมาถามความเห็นเรื่องปรับครม.แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นการหยั่งเชิงถามในนามส่วนตัวบิ๊กจินว่าถ้าถูกปรับออกจะรู้สึกอย่างไร หรือคิดว่าควรจะปรับรัฐมนตรีรายใดบ้าง
คำตอบของพลอากาศเอกประจินจึงเป็นสิ่งที่ชวนให้คิดต่อ นายกฯติดตามงานและรู้จักรัฐมนตรีทุกคน ดังนั้น จึงสามารถตัดสินใจได้ว่า ควรจะปรับใครออกนำใครเข้ามา นี่คือมุมของคนที่ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง นี่เป็นความเห็นของคนมองว่าครม.ประยุทธ์ 5 หน้าตาจะเป็นแบบไหน คนกำกับและดูแลอย่างบิ๊กตู่ย่อมรู้ดี แต่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือยังไงก็ต้องปรับ
ส่วนรัฐมนตรีตำบลกระสุนตกอย่าง “บิ๊กฉัตร” พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ ยอมรับสภาพไม่ว่าจะนั่งเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์จนถึงว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทุกครั้งที่มีข่าวปรับครม.ต้องติดโผตลอดด้วยเหตุผล “เป็นเพื่อนรักนายกฯ” แต่ก็ไม่ได้หวั่นไหวหรือน้อยใจหากจะถูกปรับออก เพราะอยากพักผ่อนมานานแล้ว ก่อนที่จะมากลับลำตอนหลังว่าไม่ได้บอกว่าอยากพัก
ไม่เพียงเท่านั้นเจ้าตัวยังโชว์ความซี้ปึ้กกับบิ๊กตู่ด้วยว่า เคยคุยกันหลังเกษียณว่าอยากจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง ซึ่งท่านผู้นำก็ได้จดไว้ทุกอย่าง แต่พอรัฐประหารและมาทำงานบริหารประเทศ ทุกอย่างจึงถูกฉีกทิ้งไปหมดแล้ว น่าเห็นใจไม่น้อยอุตส่าห์วางแผนชีวิตกันไว้ดิบดี แต่นี่ก็คงเป็นสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ย้ำมาโดยตลอดกระมัง ความจริงไม่อยากเข้ามาแต่จำเป็นต้องมา และเมื่อมาแล้วขี่หลังเสือมันจึงลงยาก
แต่บทสัมภาษณ์ของบิ๊กฉัตรที่ทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยและพาลนึกถึงเรื่องของระบบราชการไปด้วยนั่นก็คือ การอ้างว่าการสื่อสารของตนไม่ดี ข้าราชการสื่อสารไม่เป็น เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ส่วนใหญ่ไม่ได้จบมาโดยตรง จึงไม่มีทางสู้เอกชนได้ ถือว่าเป็นจุดอ่อน ตรงนี้เป็นภาพสะท้อนได้หลายประการ หากรับคนไม่ตรงกับสายงานจริง นี่ถือเป็นความบกพร่องของระบบหรือเปล่า หรือกระทรวงที่ท่านกำกับดูแลมีแต่เด็กเส้นเด็กฝาก
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของบิ๊กฉัตรดันไปสอดรับกับสิ่งที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คู่ขัดแย้งกันในครม.โดยมิได้นัดหมาย เพราะเฮียกวงบอกว่าที่หลายฝ่ายพยายามพุ่งเป้ากดดันให้รัฐบาลปรับครม. โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ เนื่องจากมองว่าไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องชาวบ้านได้ว่า เป็นเรื่องปกติ ในช่วงใกล้เลือกตั้ง ซึ่งมันน่าจะเป็นสมมติฐานที่ผิด
น่าเสียดายที่สมคิดเคยผ่านงานด้านการเมืองที่ประสบความสำเร็จมาในยุค ทักษิณ ชินวัตร เพราะความเป็นจริง ยิ่งใกล้เลือกตั้ง กระทรวงเศรษฐกิจที่แน่ที่จะเป็นตัวชูโรงของรัฐบาลในการอวดผลงานให้เป็นที่รับรู้รับทราบและประทับความทรงจำให้ประชาชนรู้ว่า ปากท้องที่ดีขึ้นหรือเงินในกระเป๋าที่งอกเงยมาจากรัฐบาลชุดนั้นๆ ที่นั่งบริหารก่อนเลือกตั้ง มันต้องตีปี๊บกันครึกโครม
การอ้างว่าใกล้เลือกตั้งกระทรวงเศรษฐกิจจึงถูกโจมตี จึงเป็นสิ่งที่ท่านผู้นำน่าจะต้องใช้ประกอบการตัดสินใจในการปรับครม. เว้นเสียแต่ท่านจะคิดและมองว่า สิ่งที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพูดมานั้นถูกต้องแล้ว เพราะไม่ได้หวังผลทางการเมืองนั่นก็อีกเรื่อง แต่คงไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะแม้ไม่หวังผลในการเลือกตั้ง แต่ก็ต้องมีผลงานให้ประชาชนได้ชื่นใจว่าแก้ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้
ถ้าหากจะพูดถึงการใกล้เข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้วรัฐบาลถูกโจมตีทุกทิศทุกทาง ถามต่อไปว่าแล้วกรณี มีชัย ฤชุพันธุ์ กับการตั้งลูกสาวเป็นเลขาส่วนตัวกินเงินเดือนในฐานะทีมของคสช. จนกระทั่งล่าสุดมาถึงการมีชื่อ พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ กับ พลตำรวจโทบุญเรือง ผลพาณิชย์ นั่งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายป.ป.ช. ทั้งที่ถูกป.ป.ช.สอบอยู่ในข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ เป็นเรื่องทางการเมืองด้วยหรือไม่
ความจริงแล้วฟังเหตุผลที่ วิษณุ เครืองาม บอกว่า การมีส่วนได้เสียในเรื่องใดแล้วไปทำเรื่องนั้นไม่ได้นั้น มันตีความไม่ได้กว้างถึงขนาดนั้น เขาเป็นสนช.ต้องพิจารณากฎหมายอยู่แล้ว และเป็นกรรมาธิการเป็นหนึ่ง 1 ใน 30 กว่าคนก็คิดไม่ออกว่าจะถือเป็นเรื่องที่มีส่วนได้เสียและขัดแย้งอย่างไร ตนไม่ได้บอกว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม แต่ยังนึกไม่ออกว่าเป็นความขัดแย้งอย่างไร
หากจะใช้ประเด็นความเป็นสนช.แล้วต้องพิจารณากฎหมาย สิ่งที่ต้องถามต่อคือแล้วมันมีสนช.ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะสองคนนี้เท่านั้นหรือ แต่งานนี้ต้องยอมรับว่าชื่อของพัชรวาทนั้นไม่ธรรมดา เพราะมือกฎหมายทั้งของรัฐบาลอย่างวิษณุ มือกฎหมายคสช.อย่างมีชัย และมือกฎหมายประจำตัวบิ๊กตู่อย่าง พรเพชร วิชิตชลชัย ต่างออกมาแสดงความเห็นโดยพร้อมเพรียงกัน
สิ่งที่ตรงกันคือ เมื่อทั้งสองคนยังไม่ถูกตัดสินต้องถือว่าบริสุทธิ์ไว้ก่อน และการได้คนที่มีความรู้ความสามารถมานั่งตรงนี้น่าจะทำให้กระบวนการพิจารณากฎหมายรอบคอบรัดกุมขึ้น ยังดีที่พรเพชรยังเว้นช่องเป็นทางเลือกไว้หน่อยว่า ถ้ามีประเด็นที่จะต้องพิจารณาในส่วนซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งคู่ ทั้งสองคนก็ต้องตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วม เออ!ง่ายๆ เท่านี้เอง
ขณะที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ชายของพลตำรวจเอกพัชรวาทนั่นมองแบบตรงไปตรงมา ถ้าเขาไม่ได้นามสกุลเดียวกันกับตนก็คงไม่เป็นปัญหา พร้อมกับโทษนักข่าวว่าถามกันอย่างนี้มันเป็นการถามแบบหาเรื่อง ก่อนที่จะบอกปัดทุกคำถามให้เป็นเรื่องน้องชายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน บางครั้งต้องยอมรับว่าความเป็นคนดีนี่ก็ดีอย่างเพราะเสียงวิจารณ์ที่มันตามมาดูท่าจะเบาบางกว่าคนของอีกฝ่าย
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่พึงเข้าใจว่านี่คือยุคของการปฏิรูปเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ไม่ว่าญาติใครจะมีตำแหน่งแบบไหน อย่าไปเรียกว่าผลประโยชน์ทับซ้อนและไม่ต้องไปห่วงว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างไรแม้จะมีคดีความ เพราะนี่เป็นบรรทัดฐานที่ใครจะมาวิจารณ์ไม่ได้ สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือ ตัวท่านผู้นำและคณะเองไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร มีทั้งการนิรโทษกรรมไว้ล่วงหน้าและมีมาตรา 44 ที่การันตีว่าทำอะไรก็ไม่ผิด