5 หุ้นน่าเก็บช่วง Q4/60 – Q1/61
ด้วยสถานการณ์ของดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับมาไม่แน่นอนอีกครั้ง เนื่องจากเกิดอาการผันผวน ทำให้การมองหาหุ้นที่จะได้ประโยชน์จาก High Season ในไตรมาส 4 ก็เป็นอีกทางเลือกที่นำมาพิจารณาต่อการลงทุน
เส้นทางนักลงทุน
ด้วยสถานการณ์ของดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับมาไม่แน่นอนอีกครั้ง เนื่องจากเกิดอาการผันผวน ทำให้การมองหาหุ้นที่จะได้ประโยชน์จาก High Season ในไตรมาส 4 ก็เป็นอีกทางเลือกที่นำมาพิจารณาต่อการลงทุน
การเฟ้นหากลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์และมีโอกาสจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาดในช่วงไตรมาส 4 และยาวต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 1 ปี 2560 จึงเชื่อว่ากลุ่มที่คาดว่าจะโดดเด่นที่สุดคือ กลุ่มโรงแรมและโรงพยาบาล
หลังจากทั้ง 2 กลุ่มได้ทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 3 ปี 60 กันไปแล้ว และปรากฏว่าสามารถประกาศผลกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สำหรับ ดาวเด่นในกลุ่มโรงแรม CENTEL, MINT และ ERW และที่สำคัญจะได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปช่วยชาติ ด้วยมาตรการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว (รวมแล้วสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีในส่วนรายได้ได้สูงสุด 3 หมื่นบาท)
โดยทางด้านผลการดำเนินงาน บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 368.54 ล้านบาท หรือ 0.27 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 321.94 ล้านบาท หรือ 0.24 บาทต่อหุ้น ขณะงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,549.83 ล้านบาท หรือ 1.15 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,433.62 ล้านบาท หรือ 1.06 บาทต่อหุ้น เป็นผลจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจโรงแรม รายได้จากธุรกิจอาหาร
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ยังให้คำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 50 บาท
ต่อมา บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,142.89 ล้านบาท หรือ 0.259 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 989.96 ล้านบาท หรือ 0.2245 บาทต่อหุ้น ขณะงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3,804.14 ล้านบาท หรือ 0.8622 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 5,296.60 ล้านบาท หรือ 1.2023 บาทต่อหุ้น เป็นผลจากการเติบโตของรายได้จากกิจการโรงแรมและบริการที่เกี่ยวข้อง และรายได้ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากนักวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี ยังให้คำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 52.50 บาท
รวมถึง บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 79.34 ล้านบาท หรือ 0.17 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 55.78 ล้านบาท หรือ 0.0223 บาทต่อหุ้น ขณะงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 344.44 ล้านบาท หรือ 0.8622 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 263.81 ล้านบาท หรือ 1.1056 บาทต่อหุ้น เป็นผลจากการเติบโตของรายได้จากการประกอบกิจการโรงแรม และรายได้จากค่าเช่าห้องในอาคารและค่าบริการ
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากนักวิเคราะห์ บล.เคทีบี ยังให้คำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 8.10 บาท
ส่วนกลุ่มโรงพยาบาล ยกให้เป็น BDMS, BHถือเป็นหุ้นที่น่าลงทุนสุดของกลุ่ม
ทางด้านผลการดำเนินงาน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2,416.50 ล้านบาท หรือ 0.16 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,333.78 ล้านบาท หรือ 0.15 บาทต่อหุ้น ขณะงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 8,180.74 ล้านบาท หรือ 0.53 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 6,409.44 ล้านบาท หรือ 0.41 บาทต่อหุ้น ซึ่งมาจากมาร์จิ้นที่แข็งแกร่งและรายได้ที่โตขึ้น
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากนักวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี ยังให้คำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 24.70 บาท
ขณะที่ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,055.51 ล้านบาท หรือ 1.45 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 965.69 ล้านบาท หรือ 1.33 บาทต่อหุ้น ขณะงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3,020.81 ล้านบาท หรือ 4.15 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,801.43 ล้านบาท หรือ 3.84 บาทต่อหุ้น สาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยเติบโต 1.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น 8.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากนักวิเคราะห์ บล.ฟินันเชีย ไซรัส ยังให้คำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 245 บาท
ถือเป็นสัญญาณการขยายตัวที่ดีของทั้ง 2 กลุ่ม คาดว่าจะมี Momentum ที่ดีอย่างต่อเนื่องมายังไตรมาส 4 ที่เป็น High Season KS Research มองหุ้นทั้ง 5 บริษัท CENTEL, MINT, ERW, BDMS, BH จะเป็นหุ้นที่ควรค่าแก่การซื้อสะสมในช่วงนี้