พาราสาวะถี
น่าสนใจในความพยายามที่จะให้สื่อเลิกคาดเดาและจบเรื่องการปรับครม.ประยุทธ์ 5 เสียที ทั้งๆที่วันศุกร์ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชัดเจน แต่ทำไมวันเสาร์ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงให้ สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ออกมาย้ำหัวหมุดอีกรอบ ขอสื่อเลิกคาดเดา กับเหตุผลอาจบั่นทอนกำลังใจในการทำงาน รวมทั้งไม่เป็นผลดีต่อทั้งตัวรัฐมนตรีและภาพลักษณ์ของรัฐบาลโดยรวม
อรชุน
น่าสนใจในความพยายามที่จะให้สื่อเลิกคาดเดาและจบเรื่องการปรับครม.ประยุทธ์ 5 เสียที ทั้งๆที่วันศุกร์ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชัดเจน แต่ทำไมวันเสาร์ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงให้ สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ออกมาย้ำหัวหมุดอีกรอบ ขอสื่อเลิกคาดเดา กับเหตุผลอาจบั่นทอนกำลังใจในการทำงาน รวมทั้งไม่เป็นผลดีต่อทั้งตัวรัฐมนตรีและภาพลักษณ์ของรัฐบาลโดยรวม
นี่ย่อมเป็นภาพสะท้อนว่า กระบวนการปรับครม.ที่เป็นอำนาจอันเป็นเอกภาพของท่านผู้นำแต่เพียงผู้เดียว มีภาวะกดดัน ทั้งจากคนในซีกส่วนที่เป็นพี่ เป็นเพื่อนและเป็นผู้ร่วมชะตากรรมมากับคณะรัฐประหารคสช. ทุกอย่างจึงต้องดำเนินไปด้วยความรอบคอบ แต่ต้องจบในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดความสั่นคลอน อันเป็นผลต่อแรงกระเพื่อมที่จะถาโถมเข้าใส่รัฐบาล
ความมีอยู่จริงของแรงกดดัน ทั้งจากภายในและภายนอก รวมทั้งปัจจัยอื่นที่คนทั่วไปมองไม่เห็นปรากฏรูปรอยอยู่ในการปรับครม.หนนี้ ที่เด่นชัดสุดหนีไม่พ้นรายของ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ตกเป็นกระแสว่าจะถูกริบเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม เหลือเพียงหัวโขนรองนายกรัฐมนตรี ที่หนักไปกว่านั้นถึงขั้นลือไปกันว่าน้องเล็กจะส่งพี่ป้อมไปพักผ่อน
สั่นคลอนกันจนกระทั่งพี่ใหญ่ออกลูกหงุดหงิดและรำคาญ จนต้องหลบพักด้วยการยกเลิกวาระงานในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และปล่อยให้แหล่งข่าวใกล้ชิดให้ข้อมูลกับนักข่าวว่า เดินทางไปธุระส่วนตัวที่ต่างประเทศ เมื่อน้องรักยืนยันแล้วว่าไม่ดึงเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหมมานั่งควบเอง วันนี้เราจะได้เห็นพี่ป้อมน้องตู่ลงเรือลำเดียวกันในการร่วมตรวจพลสวนสนามบนเรือหลวงถลาง ของกองทัพเรือ ที่จังหวัดชลบุรี
ข่าวการปรับครม.ที่นอกจากจะเขย่าเก้าอี้บิ๊กป้อมแล้ว ยังกระแซะไปถึงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผบ.ตร.ของ “บิ๊กแป๊ะ” พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา เด็กในคาถาของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์อีกด้วย จากข่าวปล่อยที่มาแรงในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผบ.ตร.ไขก๊อกเตรียมรับเก้าอี้เสนาบดีในรัฐนาวาประยุทธ์ 5
ความอึมครึมที่เกิดขึ้นคงเป็นเพราะบิ๊กแป๊ะไม่ปฏิเสธให้ขาด ไม่ยืนยันให้หนักแน่น ประกอบกับข่าวการอยากเปลี่ยนตัวผบ.ตร.ที่กระหึ่มมาก่อนหน้า จึงทำให้ฟังแล้วมีน้ำหนัก แต่ทุกอย่างก็กระจ่างเมื่อบิ๊กตู่ยืนยันเองว่า “ไม่มี เขาทำงานดีอยู่แล้วจะเอามาทำไม อยากถามว่ากระแสข่าวที่ออกมาเป็นของใคร ใครเป็นคนเลื่อยเก้าอี้ วันนี้สื่อจะฟังตำรวจหรือฟังผม ตำรวจเป็นคนปรับหรือสื่อเป็นคนปรับ วันนี้ผมบอกว่าไม่มีก็จบแล้ว จะหาเหตุอะไรมาได้อีกจะมาซักต่อกันทำไม”
เป็นอันว่าสยบทุกกระแสข่าวลือ ไม่เพียงเท่านั้น ที่ท่านผู้นำย้ำและไม่ต้องไปตีความใดๆอีกคือ เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของพี่รอง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังแข็งปั๋งไม่สั่นคลอน ส่วนเพื่อนรักอย่าง “บิ๊กนมชง” พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ แม้จะได้ไปต่อแต่คงไม่ใช่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างแน่นอน
แต่คนที่ดูจะอารมณ์ดีกว่าใครเพื่อนในการปรับครม.หนนี้ น่าจะเป็น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล จับอาการจากการหยอกล้อนักข่าวเมื่อวันศุกร์ ทั้งบอกว่าระวังจะโดนบิ๊กป้อมด่าเพราะดันไปเสนอข่าวว่าจะหลุดจากเก้าอี้ ที่ต้องขีดเส้นใต้คือวลีทองของเฮียกวงที่ว่า ส่วนตัวไม่ได้มีการปรับเพิ่มตำแหน่งแต่อย่างใด
ความหมายของคำว่าส่วนตัวในที่นี้คือ เฉพาะเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้ควบตำแหน่งอื่น หรือหมายถึงเก้าอี้ของเด็กในคาถาที่ดูแลกระทรวงเศรษฐกิจก็ไม่ได้ถูกริบคืนไปด้วย ถอดรหัสจากอาการแฮปปี้ของสมคิดแล้ว ต้องบอกว่าของของเขาดีจริง สิ่งที่ต้องลุ้นคือ อยู่ต่อแล้วผลงานด้านการแก้ไขปัญหาปากท้องมันดีขึ้นด้วยหรือไม่ ต้องเร่งพิสูจน์ให้เห็นโดยเร็ว
สิ่งสำคัญสำหรับการปรับครม.เที่ยวนี้อีกประการคงเป็นโควตานักการเมืองที่ลือกันว่าจะถูกดึงมาร่วมงานกับรัฐบาลคสช. ซึ่งท่านผู้นำก็ยืนยันหนักแน่น “ขอให้จบเสียทีที่พูดๆกันมา ไม่มีนักการเมืองที่ว่าจะเข้ามาก็ไม่มี เลิกลือกันเสียที” แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความจะไม่มีคนนอกมาร่วมรัฐบาล เพราะบางรายชื่ออาจไม่ได้เป็นนักการเมือง แต่เคยร่วมรัฐบาลพรรคการเมืองมาก่อนก็เป็นได้
ถ้าปลดล็อคเสียงวิจารณ์เรื่องปรับครม.ไปได้ แต่แรงกดดันรัฐบาลก็ใช่ว่าจะหมดไป อย่างน้อยกรณีชาวสวนยางพาราที่เรียกร้องให้แก้ไขปัญหาราคาตกต่ำ ก็ยังเป็นเรื่องกวนใจท่านผู้นำไม่น้อย ยิ่งปลายเดือนนี้มีคิวจะเดินทางไปประชุมครม.สัญจรที่จังหวัดสงขลา ถ้ายังหาทางออกหรือเจรจากันไม่ลงตัว สิ่งที่กลัวกันคือกลุ่มปัญหาความเดือดร้อนจะไปยื่นหนังสือเรียกร้องถึงที่ประชุมก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะท่าทีของคนกันเองทั้งอดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และแกนนำกปปส. หากไม่ใช่มวยล้มต้มคนดู ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลไม่น้อย ล่าสุด ราเมศ รัตนะเชวง มือกฎหมายของพรรคเก่าแก่ก็ออกมาไล่นายกฯเหยงๆให้ลาออกเสียหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคายางพาราให้ชาวสวนยางได้ เช่นเดียวกับ ถาวร เสนเนียม ที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้ต่อเนื่อง
ปัญหาคาใจของคนเหล่านี้คงอยู่ที่หนังสือข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาที่ด้านหนึ่งถูกส่งมาในนาม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อีกด้านหนึ่งเป็นแนวทางของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ชงให้ท่านผู้นำตั้งแต่คราวยังห่มเหลือง เมื่อมีข้อแนะนำอันเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เหตุใดท่านผู้นำจึงเพิกเฉยและไม่ทำตาม หรือจะปฏิเสธความหวังดีของมิตรแท้
ต้องไม่ลืมว่าคุณลักษณะพิเศษของคนพรรคการเมืองนี้ สิ่งไหนที่สมประโยชน์หรือวิน-วิน ก็พร้อมที่จะหลิ่วตาข้างหนึ่ง ไม่แยแสแม้กระทั่งถูกค่อนขอดว่าแนบชิดกับอำนาจนอกระบบหรืออิงแอบกับอำนาจรัฐประหาร แต่การโวยวายและแสดงความไม่พอใจ เป็นภาพที่คนส่วนใหญ่เชื่อได้ว่า ผู้มีอำนาจได้ปฏิเสธความหวังดีหรือทำอะไรให้คนกลุ่มนี้ไม่พอใจ ไม่ไว้วางใจ นี่แหละคือสัจธรรมการเมืองที่ท่านผู้นำน่าจะเข้าใจดี ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร