พาราสาวะถี
ลงเรือลำเดียวกันด้วยความสำราญและแช่มชื่นสุดๆ สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พร้อมกลบข่าวเกาเหลาช่วงน้องตู่จัดโผครม.ประยุทธ์ 5 ซึ่งมีข่าวว่าคนทั้งคู่ขัดแย้ง จนถึงขั้นน้องเล็กจะยึดเก้าอี้ว่าการกระทรวงกลาโหมจากพี่ใหญ่มานั่งควบเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะคลี่คลาย หลังคนมีอำนาจยืนยัน พี่ป้อมยังอยู่ในตำแหน่งเดิมทั้งสองเก้าอี้
อรชุน
ลงเรือลำเดียวกันด้วยความสำราญและแช่มชื่นสุดๆ สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พร้อมกลบข่าวเกาเหลาช่วงน้องตู่จัดโผครม.ประยุทธ์ 5 ซึ่งมีข่าวว่าคนทั้งคู่ขัดแย้ง จนถึงขั้นน้องเล็กจะยึดเก้าอี้ว่าการกระทรวงกลาโหมจากพี่ใหญ่มานั่งควบเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะคลี่คลาย หลังคนมีอำนาจยืนยัน พี่ป้อมยังอยู่ในตำแหน่งเดิมทั้งสองเก้าอี้
พอมาลงเรือลำเดียวกัน นักข่าวจึงถามบิ๊กป้อมเรื่องความขัดแย้ง เจ้าตัวออกปากยืนยันไม่มี เพราะความสัมพันธ์ที่ดีและยาวนานมาตลอด 40 ปี ไม่มีอะไรมาทำให้ขาดสะบั้นไปได้ ที่ผ่านมา มีแต่ข่าวลือ โดยเฉพาะพวกคอลัมนิสต์ ขณะที่น้องตู่ก็ตอบแทบไม่ได้ต่างกัน สัมพันธภาพยั่งยืนไร้ขัดแย้ง ที่สำคัญไม่รู้ว่าจะแทงใจดำใครบางคนหรือเปล่า ถ้าพี่ป้อมไม่ดีคงไม่นับถือและเลิกคบไปนานแล้ว
เป็นอันว่าเรื่องเหยียบตาปลาระหว่างพี่น้องบูรพาพยัคฆ์ไม่มีแน่นอน เมื่อไม่มีควันของความขัดแย้งหลงเหลืออยู่ สายตาทุกคู่จึงเปลี่ยนไปดูว่าหน้าตาเสนาบดีรอบใหม่จะไฉไล มีพลเรือนมากกว่าทหารหรือไม่ ซึ่งคำตอบจากคนจัดโผคือ ไม่เคยคิดถึงสัดส่วน แต่ก็เปรยๆ ว่า ไม่มีเข้า มีเพียงนิดหน่อย ออกมากกว่าเข้า ก่อนที่จะตั้งคำถามว่า ทำไมรังเกียจทหารนักหรืออย่างไร
ประโยคหลังนี่คงไม่ต้องไปอธิบายอะไรต่อเพราะท่านผู้นำเข้าใจดี ไม่ใช่เรื่องของความรักหรือเกลียด แต่สัดส่วนของทหารที่มีมากเกิน มันทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลคสช.ที่ถูกมองอยู่แล้วว่ามาจากการรัฐประหาร กลายเป็นของเรื่องการต่างตอบแทนเพื่อนพ้องน้องพี่ มากกว่าตั้งใจที่จะเข้ามาเพื่อบริหารประเทศ ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองและประชาชน
ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับคือ ทหารไม่ได้เก่งทุกเรื่อง การเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกองทัพ ไม่ได้หมายความว่าเป็นนักบริหารที่เก่งอาจ เลิศเลอ ขณะที่ศาสตร์ของการบริหารประเทศไม่ว่าจะในนามนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็แล้วแต่ มันมีทั้งมิติของการตัดสินใจที่เด็ดขาด มุมทางการเมืองและเรื่องรัฐศาสตร์ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
พูดง่ายๆ คือเป็นเรื่องของการใช้พระคุณมากกว่าพระเดช ประเด็นเช่นนี้เชื่อได้ว่าบิ๊กตู่ที่เข้ามาสัมผัสงานเกือบจะ 4 ปีแล้วคงรู้ดีกว่าใครเพื่อน ขณะที่การยอมรับจากต่างประเทศในฐานะคณะรัฐบาลนั้น ยิ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำคสช.น่าจะสัมผัสได้ด้วยตัวเอง มิเช่นนั้น คงไม่มีคำกล่าวที่ว่า บางเรื่องต้องใช้มิติทางการทูตหรือกระทรวงการต่างประเทศออกหน้าแทน เพราะมันมีมุมในแง่ของการยอมรับระหว่างประเทศมาเป็นเส้นแบ่งอยู่
แต่เท่าที่ดูจากโฉมหน้าของครม.ที่มีรายชื่อหลุดกันมาเป็นระลอก คงพอจะมองเห็นว่าท่านผู้นำเข้าใจสัจธรรมทางการเมืองดี สิ่งที่ต้องลุ้นกันคือเมื่อรายชื่อที่แท้จริงปรากฏขึ้นมาแล้ว จะมีเสียงร้องยี้หรือชื่นชม มากไปกว่านั้นคือ มีการวางตัวบุคคลให้เหมาะสม สอดคล้องกับงานหรือภารกิจที่จำเป็นเร่งด่วนในช่วงโค้งสุดท้ายของการบริหารก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้งมากน้อยเพียงใด
ความเชื่อมั่นจากการปั้นแต่งนโยบายและตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ล่าสุด ปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ ปรับคาดการณ์จีดีพีปีนี้โตอยู่ที่ร้อยละ 3.9 คงเป็นฐานแห่งความเชื่อมั่นที่ทำให้ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ถึงขั้นประกาศว่า ปีหน้าคนจนจะหมดไปจากประเทศไทย
จนถูกค่อนขอดว่า คนจนหมดทั้งประเทศหรือคนจนจะหมดไปจากประเทศกันแน่ ต้องพิจารณาจากปัจจัยที่หลากหลาย แต่คนส่วนใหญ่ก็เอาใจช่วย หวังจะให้ทุกคนอยู่ดีกินดี ไม่มีปัญหาปากท้อง ซึ่งนั่นมันจะช่วยการันตีให้รัฐบาลคสช. สามารถตีตั๋วยาวอยู่ได้นานตราบเท่าที่ใจต้องการ จะเป็น 20 ปีตามยุทธศาสตร์ชาติที่วางกันไว้ก็ไม่มีใครว่า
แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น นอกจากจะมองภาพตัวเลขในภาพใหญ่แล้ว คงต้องแก้ไขปัญหารายทางที่ว่าด้วยความเดือดร้อนของประชาชนกลุ่มต่างๆ กันก่อน จ่อคอหอยรัฐบาลโดยที่มีทหารคอยเรียกไปปรับทัศนคติเป็นระยะคือ ชาวสวนยางพารา ที่ล่าสุด สุนทร รักษ์รงค์ นายกสมาคมเกษตรกรชาวสวนยาง 16 จังหวัดภาคใต้ และเลขาธิการสภาเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย หรือ สคยท. พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายประมาณ 50 คน ได้ยกขบวนไปขอพบท่านผู้นำแค่ 5 นาที
ที่สุดท้ายก็เป็นไปตามสูตรได้ยื่นหนังสือกับตัวแทนภาครัฐ เป็นข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาวิกฤติยางพาราไทยอย่างยั่งยืน เนื่องจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำอย่างผิดปกติ ไม่ว่าการดำเนินการของแกนนำชาวสวนยางจะมีมิติอย่างอื่นหรือไม่ แต่นี่เป็นภาพสะท้อนของกลุ่มปัญหาความเดือดร้อน ที่รัฐบาลจะต้องเฝ้าระวังไม่ให้เกิดผลกระทบจนคนเหล่านี้สุดที่จะทน
ด้วยความที่ก่อนเกิดการรัฐประหาร ชาวสวนยางภาคใต้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมขบวนนกหวีด ทำให้เกิดรัฐบาลคสช.ในวันนี้ นั่นจึงเป็นที่มาของการทวงบุญคุณพร้อมคำขู่ที่ว่า อยากให้นายกฯทราบว่าชาวสวนยางภาคใต้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทหารได้เข้ามาเป็นรัฐบาล ซึ่งระวังอย่าให้วิกฤติยางพารากลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เมื่อถึงวันนั้นแม้แต่ทำเนียบรัฐบาลก็ไม่มีกฎหมายใดมากั้นได้ เพราะชาวสวนยางพารายอมที่จะฝ่าฝืนกฎหมายแต่ไม่ยอมให้ลูกอดตาย
ท่วงทำนองเช่นนี้ หากไม่ใช่แค่การเคาะกะลาหรือแยกเขี้ยวขู่ ถือว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อย แต่คนจำนวนหนึ่งก็ยังไม่ปักใจเชื่อเสียทีเดียว เพราะท่าทีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มีต่อท่านผู้นำและรัฐบาลคสช.นั้นมันเห็นกันชัดเจน เว้นเสียแต่ว่าสายสัมพันธ์ของสองคนนั้นยังแน่นแฟ้น แต่สัมพันธ์ระหว่างแกนนำกปปส.กับแกนนำยางขาดสะบั้นนั่นก็อีกเรื่อง ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้
ส่วนเป้าหมายในการล้ม ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทยและลุกลามไปถึง พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ ในตำแหน่งเจ้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น ต้องดูกันหลังโผครม.คลอดแล้ว เพราะเก้าอี้ใหญ่หากหลุดมันก็จะสะเทือนถึงเก้าอี้อื่นๆ ตามไปด้วย แต่บางครั้งเก้าอี้ที่ว่าสั่นคลอนก็กลับมีหลักให้ยึดที่แน่นหนาไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน งานนี้ต้องคอยดูว่าบิ๊กตู่จะผ่าทางตันนี้แบบไหน