IPO ราคาเว่อร์ขี่พายุ ทะลุฟ้า
หมดยุคมหัศจรรย์หุ้นจองหรือหุ้นไอพีโอแล้วล่ะครับ คงต้องกลับมาทบทวนการตั้งราคา ”หุ้นจอง” กันใหม่ได้แล้ว
หมดยุคมหัศจรรย์หุ้นจองหรือหุ้นไอพีโอแล้วล่ะครับ คงต้องกลับมาทบทวนการตั้งราคา ”หุ้นจอง” กันใหม่ได้แล้ว
ปรากฏการณ์มหัศจรรย์หุ้นจอง เกิดขึ้นได้เป็นพักๆ หุ้นขึ้นติดซิลลิ่งเป็น 3-4 วันซ้อนก็ยังเคยมี และปรากฏการณ์หุ้นหลุดจองตั้งแต่วันแรกเลยแล้วหลุดยาว ก็ปรากฏพบเห็นกันได้บ่อยๆ
แนวปฏิบัติเดิมๆ เมื่อก่อนนี้ ที่ปรึกษาการเงินหรือ FA มักจะตั้งราคาหุ้น IPO ด้วยราคา P/E (ราคาหุ้น/กำไรต่อหุ้น) ไม่เกิน 15 เท่า
บางช่วงบางขณะ เห็นตลาดหุ้นไม่สดใสนัก ก็ตั้งราคาให้มีส่วนลดกันเยอะหน่อย ราคา IPO อาจจะเหลือต่ำกว่า 15 เท่า ลงมาจนถึงแค่ 10 เท่าเท่านั้น
ระดมทุนเข้าบริษัทได้น้อยหน่อย แต่ผู้ซื้อหุ้นจองแฮปปี้ที่มีส่วนลดเยอะ และอันเดอร์ไรเตอร์ที่รับประกันการจำหน่ายทั้งหลายก็ขายหุ้นได้หมด ไม่ต้องเสี่ยงเก็บหุ้นหลุดจองไว้ในพอร์ตเอง
แต่ในช่วงราว 10-12 เดือนมานี้ หลังการยึดอำนาจของกองทัพ ยุคทองของหุ้นจองกลับมาอีกครั้ง
ไม่ว่าจะตั้งราคาแพงลิบลิ่วอย่างไร หุ้นก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ราคาหุ้นวิ่งฉิวปลิวลมเป็นร้อย-สองร้อยเปอร์เซ็นต์ แรลลี่ยาวกันไปอีกสอง-สามวันต่อมาก็ยังมี
แต่หลังจากนั้น ราคามักจะอ่อนตัวลงมา เพราะต้องไปเจอกับมาตรการคุมเข้มจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อหุ้นที่มีค่าพี/อีสูงทั้งหลายและมีการซื้อขายเปลี่ยนมือสูงจนราคามาหลุดจองภายหลังก็มี
หุ้นบางตัว ตั้งราคาไอพีโอคิดเป็นพี/อีตั้ง 80 เท่า ก็ยังทำกัน!
ผมเองก็มักจะตั้งคำถามกับ FA ที่นำหุ้นเข้าตลาดอยู่บ่อยๆ ว่า ทำไมถึงตั้งราคาหุ้นแพงหูฉี่อย่างนี้ ตั้งราคาเหมือนจะไปตายเอาดาบหน้ากันหรือไร
คำตอบก็มีออกมาหลายแบบ
บ้างก็บอกตรงๆ ว่า เจ้าของหุ้นอยากได้ราคาสูง เพื่อจะได้มีเงินเข้าบริษัทมามากหน่อย ขืน FA ไม่โอนอ่อนผ่อนตาม ก็อาจจะเรียก FA รายอื่น มาปาดหน้าคว้างานไปก็ได้
ซึ่งเรื่องนี้ก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน เพราะในอดีตเคยมีการแย่งงานทำนองนี้กันจริงๆ
บ้างก็พูดเชิงภาษาวิชาการเป็นคุ้งเป็นแควว่า ที่เห็นการตั้งราคาสูงเนี่ย แท้จริงแล้วก็ไม่สูงหรอก เพราะมีการคำนวณเผื่อการเติบโตในอนาคตแต่ละปีเอาไว้แล้ว
บ้างก็ฝันเฟื่องว่า กิจการบริษัทจะเติบโตถึงปีละ 20% ไปโน่น จึงคิดราคา IPO จากราคาพี/อีล่วงหน้า เหลือต่ำกว่าพี/อี 20 เท่าลงมาหน้าตาเฉย
เรื่องพี/อีล่วงหน้า มันเป็นเรื่องอนาคตที่ไม่แน่ไม่นอนครับ คงจะคิดว่า กิจการบริษัทจะเติบโตถ่ายเดียวไม่ได้หรอก
ยิ่งมาคิดพิจารณาถึงหนทางเศรษฐกิจวันข้างหน้าในตอนนี้ด้วยแล้ว อนาคตดูจะตีบตันเอามาก หวังว่าจะประคองตัวให้อยู่รอดอย่างไร ยังจะมีความเป็นจริงเสียล่ะมากกว่า
เพื่อเห็นแก่ความยั่งยืนของตลาดหุ้น ที่นักลงทุนจะไม่เจ๊งจากหุ้นจอง และเจ้าของบริษัทจดทะเบียนก็ยังสามารถระดมทุนในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง
จึงอยากจะขอให้ทบทวนการตั้งราคาหุ้นจองเสียใหม่ เพราะสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
อย่าได้คิดฟอร์เวิร์ด พี/อี ที่มีแต่ด้านรุ่งเรืองถ่ายเดียว คิดจากความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน และกลับมาสู่การตั้งราคาที่มีส่วนลดเสียแต่บัดนี้