หุ้นมรดกเผื่อลูกสู่หลาน?

ขี่พายุทะลุฟ้า : บูรพา สงวนวงศ์ (เขียนแทน)

ใกล้เข้ามาทุกทีครับ สำหรับการเปลี่ยนสถานะใหม่ของ กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ อย่างเต็มตัวและเป็นทางการ

จากเดิมคือ “บริษัทจำกัด” ตอนนี้กำลังจะกลายเป็น “บริษัทมหาชนจำกัด” ที่ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อขายหุ้นกันได้ในตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค. 2560

…ก็เรียกได้ว่าเป็นบริษัทมหาชนอย่างสมบูรณ์แบบนั่นแหละครับ

GULF เข้าตลาดฯมาพร้อมกับโปรไฟล์ไม่ธรรมดา เพราะถือเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย

ปัจจุบันมีโครงการภายใต้บริษัทย่อยและบริษัทร่วมทุนที่ขายไฟเข้าระบบแล้วราว 4.7 พันเมกะวัตต์ และหากรวมในส่วนที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง เตรียมก่อสร้างหรืออยู่ระหว่างพัฒนา ตัวเลขจะขยับขึ้นไปถึง 1.11 หมื่นเมกะวัตต์ ภายในปี 2567

เช่นนั้นการที่ GULF กำลังจะขึ้นแท่นเป็น “หุ้นไอพีโอแห่งทศวรรษ” (แง่ขนาด) ด้วยมูลค่าระดมทุนราว 2.4 หมื่นล้านบาท จึงถือเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจครับ!

เรื่องนี้ต้องเท้าความกลับไปในปี 2549 เพราะหุ้นไอพีโอตัวสุดท้ายที่มีขนาดบิ๊กเบิ้มระดับนี้คือ RRC โดยวันนั้นมีการระดมทุนไปทั้งสิ้น 2.72 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันหุ้นตัวนี้ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ PTTGC ในสายอะโรเมติกส์ไปแล้ว

พูดถึงกระแสตอบรับหุ้น GULF ล่าสุดได้ยินมาว่า “ไม่มีของจะขายแล้ว!!”

ซึ่งนั่นคงเพียงพอจะสะท้อนได้ว่า มีความต้องการหุ้นตัวนี้เกิดขึ้นในตลาดอย่างล้นหลาม

รายงานตัวเลขล่าสุดหลังผ่านขั้นตอนสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) จากนักลงทุนสถาบันทั้งไทยและเทศพบว่า มีดีมานด์เกินส่วนที่จัดสรรให้แก่กองทุนทั้งหลายไปสูงถึง 18 เท่าจากโควต้าที่เตรียมไว้ให้ราว 189.31 ล้านหุ้น ซึ่งนั่นจึงเป็นที่มาของการเคาะราคาไอพีโอที่กรอบบนสุดคือ 45 บาทต่อหุ้น

งานนี้สงสัยบรรดากองทุนที่ว่าคงส่งเสียงโห่ฮาไปถึงเหล่าผู้จองซื้อพิเศษ (Cornerstone Investor) ที่แบเบอร์มาเหมาสิทธิจองก่อนใครเพื่อนกว่า 160 ล้านหุ้นจากไอพีโอทั้งหมด 533.30 ล้านหุ้น เป็นแน่แท้…

ก็ถือเป็นเรื่องน่าคิดครับ เพราะหากคำนวณค่าพี/อี โดยนำราคาไอพีโอ 45 บาทเป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วยกำไรต่อหุ้นจากงบงวดระหว่าง Q4/59 ถึง Q3/60 คือ 1.09 บาท จะพบว่าอยู่ในระดับค่อนข้างสูงคือประมาณ 41.28 เท่า

โดยนอกจากตัวเลขนี้จะปรากฏอยู่บนหนังสือชี้ชวนอยู่แล้ว ก็ยังถือเป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นจากสูตรคิดแบบเรียบง่าย ชนิดชั้นเดียวเชิงเดียว ซึ่งระดับนักลงทุนสถาบันคงไม่มองข้ามไปง่ายๆ แน่นอน นอกเสียจากเล็งเห็นถึงผลอะไรบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถึงได้เกิดเหตุการณ์รุมจองหุ้น GULF จนล้นทะลักดังปรากฏให้ได้เห็น

ตัวเลขกำไร 1.09 บาทต่อหุ้นเกิดขึ้นจากกำไรสุทธิ 2.33 พันล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดราว 2.13 พันล้านหุ้น

น่าสนใจครับว่าในตัวเลข 2 พันกว่าล้านบาทนั้นมีอยู่กี่โครงการและคิดเป็นจำนวนเมกะวัตต์เท่าไหร่ที่ไม่ได้ขายไฟเข้าระบบทันแบบเต็มงวด

แล้วหากนำเอาจำนวนเมกะวัตต์ที่ขาดหายไปเหล่านั้นมาคิดเป็นรายได้เต็มงวดจะทำให้ตัวเลขที่ออกมาในงวดหน้าจะยังเท่ากับ 2 พันกว่าล้านบาทอยู่หรือไม่?

หากเป็นกรณีว่า พอบันทึกรายได้เข้ามาเต็มงวดแล้วทำให้กำไรสุทธิปรับตัวสูงขึ้นได้จริง ประกอบกับการอ้างอิงสมมติฐานที่ว่าค่าพี/อีของหุ้น GPSC และ BGRIM ซึ่งประกอบธุรกิจที่คล้ายคลึงกับ GULF เป็นอย่างมาก ที่ระดับ 30.52 เท่า และ 45.82 เท่าตามลำดับ นั้นมีความเหมาะสมในการนำมาคำนวณแล้ว

ก็คงต้องมาลองดีดตัวเลขกันล่ะครับ ว่าราคาหุ้น GULF ที่เหมาะสมควรจะอยู่สักเท่าไหร่ โดยยังไม่รวมเป้าขยายอีกกว่า 6 พันเมกะวัตต์ในช่วงประมาณ 6-7 ปีต่อจากนี้

สำหรับวิธีการประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น GULF หรือบางท่านอาจเรียกว่าการคาดเดาก็สุดแล้วแต่ ก็คงจะกระทำกันได้หลากหลายวิธีนั่นแหละครับ

เพราะนอกจากวิธีการข้างต้น การย้อนกลับมาดูอดีตของหุ้นตัวอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจไฟฟ้าอย่าง EGCO, RATCH, GLOW ซึ่งเข้ามาทำการซื้อขายในตลาดฯกันมายาวนานแล้ว ผมก็พบกับข้อมูลตัวเลขที่เรียบง่ายแต่แสนจะน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งคือ พัฒนาการในเชิงมูลค่าของหุ้นครับ

EGCO เข้าตลาดฯมาในปี 2538 ด้วยราคาไอพีโอ 22 บาท ปัจจุบันอยู่ที่ 220 บาท ส่วน RATCH ซื้อขายวันแรกในปี 2543 ราคาไอพีโอ 13 บาท ปัจจุบัน 54.25 บาท และ GLOW เริ่มมาตั้งแต่ปี 2548 ด้วยราคาไอพีโอ 24 บาท ปัจจุบัน 85 บาท

หลายท่านอาจมองเป็นเรื่องของการปรับมูลค่าตามกาลเวลา ขณะที่อีกหลายท่านคงคิดว่าเป็นการลงทุนระยะยาวที่สามารถสร้างดอกออกผลได้

สุดท้ายแล้ว การอ้างอิงสมมติฐาน “ค่าพี/อีหุ้น GPSC-BGRIM ผนวกกับรายได้ที่เติบโตของกัลฟ์ในอนาคต” และ “พัฒนาการในเชิงมูลค่าของหุ้น EGCO-RATCH-GLOW” จะเพียงพอต่อการพูดว่า GULF เป็นหุ้นน่าลงทุนหรือไม่?

หุ้น GULF พอจะเป็นหุ้นให้ท่านนักลงทุนซื้อเผื่อเป็นมรดกตกทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้ไหมครับ?