พาราสาวะถี

นี่แหละพิษของคำว่าปากไม่มีหูรูด สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลกล่าวหา มุสตาซีดีน วาบา หรือแบมุส ครูสอนศาสนาโรงเรียนดรุณศาสตร์ จังหวัดปัตตานี ในฐานะแกนนำกลุ่มต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยซึ่งเผยแพร่ภาพไปทุกช่องทางและทั่วโลก โดยพูดในทำนองว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้จับกุมตัว แต่แบมุสน่าจะหนีไปเที่ยวกับผู้หญิงหรือกิ๊กเหมือนคดีที่สะบ้าย้อยหรือเปล่า


อรชุน

นี่แหละพิษของคำว่าปากไม่มีหูรูด สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลกล่าวหา มุสตาซีดีน วาบา หรือแบมุส ครูสอนศาสนาโรงเรียนดรุณศาสตร์ จังหวัดปัตตานี ในฐานะแกนนำกลุ่มต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยซึ่งเผยแพร่ภาพไปทุกช่องทางและทั่วโลก โดยพูดในทำนองว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้จับกุมตัว แต่แบมุสน่าจะหนีไปเที่ยวกับผู้หญิงหรือกิ๊กเหมือนคดีที่สะบ้าย้อยหรือเปล่า

ก่อนที่จะมาแก้ต่างผ่านรายการวิทยุว่าตัวเองไม่ได้พูดเช่นนั้นและมีการตัดต่อคลิปไปเผยแพร่สร้างความเสียหาย ความจริงเป็นอย่างไรเชื่อแน่ว่าคนที่ดูรายการดังกล่าวซึ่งเป็นภาคบังคับให้คนทั้งประเทศต้องดูจะเป็นผู้ตัดสิน แต่ที่แน่ๆ ในมุมของผู้เสียหายหรือได้รับผลกระทบอย่างภรรยาของแบมุส ก็ได้ให้สัมภาษณ์พร้อมโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คพูดถึงพฤติกรรมของโฆษกรัฐบาลเช่นกัน

โดย สุไรนี สายนุ้ย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ภรรยาของแบมุส ให้สัมภาษณ์กับ เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียชี้แจงว่า ขณะนี้แบมุสปลอดภัยดี ยังไม่มีหมายจับหรือหมายเรียกของเจ้าหน้าที่

แต่สิ่งที่ติดใจคือท่วงทำนองของโฆษกรัฐบาลที่มีการตั้งคำถาม มีการเปรียบเทียบว่าอาจจะมีการไปเที่ยวกับผู้หญิง ซึ่งสุไรนีรู้สึกผิดหวังที่สรรเสริญไม่ได้สอบถามมาทางครอบครัว ทั้งที่คนพูดเป็นผู้มีอำนาจ มีบทบาทสำคัญของประเทศ คิดว่าการสื่อสารสำคัญ สารที่โฆษกรัฐบาลพูดออกมามีผลต่อความรู้สึกต่อประชาชนโดยตรง

ครอบครัวของแบมุสก็มีความกังวล แต่ผู้มีอำนาจในการสื่อสารกับประชาชนกลับไม่สร้างความเข้าใจที่ดีกับประชาชนจึงขอให้มีความเป็นมืออาชีพมากกว่านี้ ซึ่งคนรอบตัวแบมุสที่รู้จักดี ก็จะรู้ว่าแบมุสเป็นคนอย่างไร จึงอยากให้รัฐฟังเสียงประชาชน สิ่งไหนที่จะนำมาซึ่งความขัดแย้งก็ขอให้ทบทวน ไม่เพียงเท่านั้นภรรยาของแบมุสยังได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊คส่วนตัวด้วย

ทุกประโยคที่สื่อมานั้น ไม่รู้ว่าคนที่พาดพิงสามีเขาจะรู้สึกอย่างไร อย่างแรกคือเป็นการสะท้อนการรู้จักตัวตนของคนที่เป็นผัวเมียกันเป็นอย่างดี โดยอาจารย์สุไรนีระบุว่า แบมุสเป็นคนที่ไม่สั่งอาหารหรือตักข้าวกิน แต่จะรอกินข้าวของเราและของลูกๆ ที่มักจะกินเหลือเป็นประจำ เพราะคิดเสมอว่าอาหารมีคุณค่ามากเกินกว่าจะทิ้งขว้าง

นอกจากนั้นยังได้บรรยายถึงความเป็นคนโอบอ้อมอารี มีน้ำใจ รักในครอบครัวและมัธยัสถ์ของสามี ที่เจ็บจี๊ดสำหรับคนที่ได้อ่านข้อความคือ แบมุสที่ไก่อูพูดอย่างตลกขบขันในทีวีนั้น คงเป็นคนละแบมุสกันกับสามีของฉันนะ พร้อมประโยคเด็ด “อีกทางหนึ่งคำพูดของท่านได้เพิ่มเกียรติยศและศักดิ์ศรีของแบมุสที่ฉันรู้จักให้สูงขึ้น แต่มันได้ลดทอนความเป็นมนุษย์ของท่านให้ต่ำลงไปอย่างไร้ราคา”

ก่อนที่จะทิ้งท้าย อันเป็นภาพสะท้อนความรู้สึกของคนที่ไม่ได้เป็นศัตรูหรือชิงชังรัฐบาลนี้ และน่าจะเป็นท่าทีเดียวกับกองเชียร์อีกจำนวนไม่น้อยของคณะยึดอำนาจที่เริ่มเห็นแล้วว่าแท้ที่จริงแล้ว ผู้มีอำนาจคิดอย่างไร แบมุสอาจไม่ใช่สามีที่ดีที่สุด แต่ไม่ได้เลวอย่างที่ท่านกล่าวหา สุดท้ายฉันขอไว้อาลัยแก่ผู้นำ ผู้บริหารบ้านเมือง คงถึงคราวล่มสลายด้วยวิสัยทัศน์ของผู้นำเช่นนี้

ขณะเดียวกันก็ได้มีการแสดงความเห็นที่เผ็ดมันตามมาอีกหลายราย ไม่ว่าจะเป็น บรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ที่มองว่า คนที่โฆษกรัฐบาลกล่าวหาให้ร้ายนั้นเป็นเจ้าของโรงเรียนปอเนาะ ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก การพูดเช่นนี้เป็นการทำให้สังคมเข้าใจคนคนนี้ผิด ดังนั้น จึงเห็นว่าโฆษกรัฐบาลไม่มีเครดิตเพียงพอที่จะทำหน้าที่อีกต่อไป สิ่งที่พูดมาดราม่าตลอด ทั้งที่ความคาดหวังของโฆษกรัฐบาลควรพูดข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมากกว่าเรื่องไม่มีพยานหลักฐาน ถ้าจะอยู่ในตำแหน่งต่อก็ควรจะทบทวนตัวเอง

ไม่ต่างจาก นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่มองว่า ระยะหลังผู้นำในรัฐบาลไม่ค่อยระมัดระวังเรื่องการแสดงท่าทีในการออกความเห็น ซึ่งจะเป็นในลักษณะแข็งกร้าว โดยทางโฆษกรัฐบาลเองก็ออกความเห็นในทางที่ไม่ค่อยระมัดระวัง กรณีของแบมุสเป็นการแสดงถึงการใช้อำนาจที่ไม่ระวังผ่านทางการพูด คนที่อยู่ในอำนาจนานๆ มักจะเหลิงอำนาจไม่ค่อยมองเห็นคนอื่นอยู่สายตาและไม่ให้เกียรติ

ความเห็นของนิพิฏฐ์นั้นคงสอดรับกับคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นพฤติกรรมของผู้มีอำนาจ ซึ่งเหตุที่ทำให้เหลิงในอำนาจ เพราะมั่นใจในอำนาจตัวเองอันถือเป็นเรื่องที่อันตราย ยิ่งคนที่อยู่ในอำนาจที่ไม่ค่อยมีการตรวจสอบด้วยแล้วก็มักจะเป็นเช่นนี้ แต่ท่าทีกับกรณีการต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น คนของพรรคเก่าแก่คงต้องไปทำการบ้านให้หนักขึ้น เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงว่าเหตุใดผู้มีอำนาจจึงแข็งกร้าวกับฝ่ายต่อต้านเป็นอย่างยิ่ง

ล่าสุด พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ยืนกรานถึงการดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับม็อบต้าน โดยยกให้เป็นเรื่องของตำรวจและศาล ถึงขนาดบอกกับนักข่าวว่าพวกที่กดดันให้ไปกดดันที่ศาลโน่น รัฐบาลไม่มีทางยอมแน่นอน พร้อมกับยกเหตุผลว่าคนในพื้นที่ส่วนใหญ่สนับสนุนให้สร้าง คนที่ค้านนั้นเป็นคนส่วนน้อย ถ้าเช่นนั้นที่ท่านบอกว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร แค่การยกตัวอย่างเช่นนี้แม้แต่เด็กอมมือก็เข้าใจได้แล้วว่า บทสรุปมันจะเป็นอย่างไร

ส่วนประเด็นผู้มีอำนาจไม่เกรงใจหรือมองไม่เห็นหัวคนใต้ ทั้งที่เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการจนทำให้เกิดรัฐบาลทหารขึ้นมานั้น คงเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับคนของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะต้องไปค้นหาคำตอบ แต่อย่าลืมแยกด้วยว่า ระหว่างฐานเสียงมวลชนของพรรคเก่าแก่กับม็อบกปปส.นั้นใช่พวกเดียวกลุ่มเดียวกันหรือไม่ เพราะบางทีมันก็จะเป็นคำตอบของกองเชียร์หลักผู้มีอำนาจที่น่าจะให้ความเกรงใจ มันหมายถึงคนคนเดียวอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ หรือเปล่า

แต่ถ้าไม่ใช่ บางทีชะตากรรมของรัฐบาลก็อาจจะเป็นอย่างที่นิพิฏฐ์สรุปปิดท้ายว่า คราวนี้คนที่เคยเชียร์รัฐบาลทหารจะนั่งไม่ติด เพราะระยะหลังรัฐบาลเหมือนนักมวยที่โดนหมัดสวนไปเยอะ ซึ่งลักษณะที่เกิดขึ้นเหมือนกับคนที่อยู่ในอำนาจช่วงท้ายๆ ประวัติศาสตร์เคยมีให้เห็นแล้ว คนที่อยู่ในอำนาจนานก็จะจบแบบนี้ และถ้าเป็นแบบนี้อีกหลายๆ ครั้งก็อาจเกิดเหตุความไม่พอใจของประชาชนมากขึ้นก็ได้ แม้บางคนบางพวกจะไม่อยากคิดไปถึงจุดนั้นก็ตาม

Back to top button