พาราสาวะถี
คำประกาศเนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดปีที่ 38 ของ พานทองแท้ ชินวัตร “10 ปีผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ผมและทุกคนในครอบครัวยังยืนยันคำเดิมว่า เราเพียงแต่ต้องการชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นกลับคืนมา โดยที่ไม่มีคนหนึ่งคนใดในครอบครัวต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกเลย..แม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นไปได้จริงจะเป็นของขวัญที่มีคุณค่ามากที่สุดสำหรับผมและครอบครัวครับ”
อรชุน
คำประกาศเนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดปีที่ 38 ของ พานทองแท้ ชินวัตร “10 ปีผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ผมและทุกคนในครอบครัวยังยืนยันคำเดิมว่า เราเพียงแต่ต้องการชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นกลับคืนมา โดยที่ไม่มีคนหนึ่งคนใดในครอบครัวต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกเลย..แม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นไปได้จริงจะเป็นของขวัญที่มีคุณค่ามากที่สุดสำหรับผมและครอบครัวครับ”
ถามว่าจะมีคนเชื่อกี่มากน้อยต่อท่วงทำนองดังกล่าว คงจะไม่แตกต่างจากสิ่งที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มุ่งหวังที่จะสืบทอดอำนาจ แต่ก็ไม่ยอมประกาศให้ชัดๆ ว่า ไม่ขอรับตำแหน่งเก้าอี้นายกฯคนนอกหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า หรือจะหันหลังให้กับทุกสิ่งหลังลงจากหลังเสือ กลายเป็นว่าทุกอย่างคลุมเครือ จนกระทั่งมี 4 คำถาม ตามมาด้วย 6 คำถาม ที่เป็นภาพสะท้อนชัด อยู่ต่อล้านเปอร์เซ็นต์
เช่นเดียวกันกรณีของลูกโอ๊คก็ไม่ต่างจากท่าทีของท่านผู้นำ นั่นก็คือ ไม่มีอะไรมาการันตีและยากเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้คนเชื่อเช่นนั้น ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องของสีสันมากกว่าที่จะไปยึดมั่นถือมั่นว่ามีโอกาสที่จะเป็นจริง ตราบใดที่ยังมีพวกเขาพวกเรา ตราบใดที่คนถืออำนาจยังคิดว่ามีคนจ้องจะล้ม เมื่อนั้นไม่ต้องมองไปถึงเส้นทางว่าจะมีใครหน้าไหนวางมือทางการเมือง
เพียงแต่ว่า ภาวะเงียบที่เป็นอยู่ของคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เป็นเพราะเห็นแล้วว่าการหายตัวไปของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับการเมืองในฝั่งของตัวเอง ในทางตรงข้ามกลับสร้างแรงกดดันให้กับผู้มีอำนาจในปัจจุบันได้เป็นระยะ โดยเฉพาะข่าวล่าสุดที่บอกว่าอดีตนายกฯหญิงได้รับพาสปอร์ตอังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เล่นเอาฝ่ายการข่าวของรัฐบาลต้องเช็กกันให้วุ่น จนต้องส่ง ดอน ปรมัตถ์วินัย ออกมาให้ข่าวแก้เก้อ เท่าที่ทราบทางการอังกฤษไม่มีนโยบายให้พาสปอร์ตกับนักธุรกิจที่เข้าไปลงทุนในประเทศ แต่ก็ไม่ได้ยืนยันว่าแล้วข่าวยิ่งลักษณ์ได้พาสปอร์ตนั้นเป็นจริงหรือไม่ ยิ่งนานวันการที่ฝ่ายกุมอำนาจยังไม่สามารถระบุแหล่งพักพิงของอดีตนายกฯหญิงได้ ยิ่งสร้างความขุ่นเคืองในอารมณ์ของกองเชียร์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบทักษิณเพิ่มขึ้นทุกวัน
ลำพังยิ่งลักษณ์ล่องหนก็ปวดหัวพออยู่แล้ว ยังมีข่าว พันตำรวจเอกชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ อดีตรองผู้บังคับการตรวจนครบาล 5 คนที่พายิ่งลักษณ์ผ่านด่านทหารไปส่งในมุมมืดที่สระแก้ว ไม่ยอมมารับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 157 จนมีการออกหมายจับ เท่ากับเป็นการซ้ำเติมกระบวนการทำงานที่หละหลวมของเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคง และยิ่งชวนให้สังคมสงสัยต่อประเด็นการหลบหนีของยิ่งลักษณ์ว่ามีเลศนัย ซ่อนเงื่อนปมอะไรบางอย่างไว้หรือเปล่า
นั่นเป็นมิติการเมืองที่เกี่ยวพันกับตระกูลชินวัตรที่กระทบชิ่งมาถึงผู้กุมอำนาจในปัจจุบัน แต่สิ่งที่เกิดเป็นคำถามตัวโตต่อหัวหน้าคสช.และคณะรัฐประหาร ณ เวลานี้กลับเป็นเรื่องการปลดล็อกพรรคการเมืองทำกิจกรรม ซึ่งในที่ประชุมคสช.และครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ไม่มีการหารือกันในประเด็นนี้ โดยยังอ้างเรื่องความมั่นคงและเพิ่งมีรัฐมนตรีใหม่เข้ามาทำงานจึงยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่จะต้องพิจารณา
ที่น่าสนใจเหมือนอย่างที่บอกไปวันก่อน ด้วยความเป็นเนติบริกรชั้นครูที่ใช้ความจัดจ้านด้านกฎหมายวางหมากกลต่างๆ ไว้ให้กับคณะรัฐประหารอย่างแยบยล ด้วยเหตุนี้ทุกคำพูดของ มีชัย ฤชุพันธุ์ จึงไม่สามารถที่จะนำมายึดเป็นบรรทัดฐานหรือหาแนวทางใดๆ ได้แม้แต่น้อย เช่นกรณีของการปลดล็อกที่เพิ่งพูดไปวันก่อนว่า ร้อนใจแทนพรรคการเมือง
แต่เมื่อถามว่าแล้วจะทำยังไงก็โยนไปให้เป็นเรื่องของคสช. ทั้งๆ ที่มีชัยเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกคสช. อย่างไรก็ตาม ภาพทั้งหลายทั้งปวงคงชัดเจนจากบทสัมภาษณ์ล่าสุดที่เจ้าตัวแสดงความพลิ้วตามประสาว่า ที่พรรคการเมืองท้วงติงจะกระทบกับการเตรียมพร้อมของพรรคตามกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น ตนคิดว่า เมื่อถึงเวลาจะมีการหาทางแก้ไขปัญหาให้ แต่จะขยายเวลาและขยายเท่าใดนั้น ยังบอกไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับการคิดคำนวณ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังพูดปิดทางในกรณีที่อาจจะมีใครไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อปมดังกล่าวด้วยว่า ทำได้ แต่ไม่รู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องไว้หรือไม่ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดขึ้น อีกทั้งคำสั่งคสช.ยังเป็นกฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจไว้กว้างขวาง และรัฐธรรมนูญรองรับไว้ ดังนั้น ตนจึงไม่ทราบว่า อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญจะตีความว่าคำสั่งของคสช.ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
ในฐานะคนที่เขียนกฎหมายและนั่งเป็นกุนซือกฎหมายคนสำคัญของคณะรัฐประหาร มันจะเขลาเบาปัญญาถึงขั้นไม่รู้อะไรเป็นอะไรเชียวหรือ ไม่เพียงเท่านั้นการพูดในทำนองดังกล่าวก็เท่ากับการชี้นำหรือย้ำให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ตระหนักว่า อย่าสะเออะมายุ่งกับเรื่องนี้ เพราะคำว่ากฎหมายพิเศษและอำนาจของคสช.กว้างขวางนั้น ความจริงต้องบอกว่าเด็ดขาดถึงขนาดจะล้มศาลรัฐธรรมนูญเลยก็ยังได้
การยืนกระต่ายขาเดียวอ้างเรื่องความมั่นคงและล่าสุดยังมีกรณีพบอาวุธสงครามที่ฉะเชิงเทราเข้ามาเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบ แทบจะไม่ต้องพูดถึงว่าโอกาสในการปลดล็อกนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด ด้วยเหตุนี้โรดแมปว่าด้วยการเลือกตั้งที่ท่านผู้นำประกาศว่าจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีหน้านั้น น่าจะเลิกคิดกันไปได้เลย เพราะรายทางหลังจากนี้ไม่มีอะไรมาการันตีว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะในแง่ความนิยมของคณะผู้มีอำนาจ
แน่นอนว่า ถ้าตามลำพังตัวพลเอกประยุทธ์ อาจได้รับความชื่นชมชื่นชอบอยู่ในระดับที่น่าพอใจ พอมองไปโดยภาพรวมแล้ว ความจริงที่ต้องยอมรับกันว่าผลงานของรัฐบาลคสช.สอบตก ด้วยเหตุนี้ แท็กติกว่าด้วยการปรับครม.ที่ถูกงัดออกมาใช้ จึงเป็นเพียงการหาเหตุขอโอกาสในการให้รัฐมนตรีใหม่ได้ทำงาน บวกเข้ากับการคาดหวังว่าเมื่อซื้อเวลาออกไปแล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้นโดยเฉพาะปัญหาปากท้องของประชาชน สิ่งที่คนไทยทำได้ยามนี้คือทำใจและภาวนาให้มันเป็นอย่างที่ท่านฝันเถอะ สาธุ!