พาราสาวะถี
ปมนาฬิกาหรูและแหวนเพชรเม็ดงามที่ปรากฏบนข้อมือและนิ้วนางของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังเป็นเรื่องคุยกันสนั่นเมือง แต่ดูเหมือนว่าบิ๊กป้อมไม่ได้หวั่นไหวหรือแสดงอาการโกรธเคืองที่ต้องตกเป็นประเด็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ แต่เจ้าตัวยังคงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยยืนยันว่าจะขอไปชี้แจงต่อป.ป.ช.และมีหลักฐานพร้อม จึงขอให้ถามเรื่องอื่นจะดีกว่า
อรชุน
ปมนาฬิกาหรูและแหวนเพชรเม็ดงามที่ปรากฏบนข้อมือและนิ้วนางของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังเป็นเรื่องคุยกันสนั่นเมือง แต่ดูเหมือนว่าบิ๊กป้อมไม่ได้หวั่นไหวหรือแสดงอาการโกรธเคืองที่ต้องตกเป็นประเด็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ แต่เจ้าตัวยังคงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยยืนยันว่าจะขอไปชี้แจงต่อป.ป.ช.และมีหลักฐานพร้อม จึงขอให้ถามเรื่องอื่นจะดีกว่า
ก่อนจะย้ำว่า ทำงานมาไม่เคยมีเรื่องทุจริต ไม่ต้องระวังตัวและไม่เสียกำลังใจในการทำงาน เป็นการยืนยันต่อความแข็งแกร่งในการรับมือกับประเด็นโจมตี ที่ดูเหมือนว่าระยะหลังพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์จะกลายเป็นตำบลกระสุนตกของรัฐบาลคสช. ยิ่งกรณีล่าสุด เชื่อว่าเจ้าตัวเองก็คงไม่คิดว่าจะถูกจับตามองและนำไปขยายผลถึงขนาดนั้น
ประเด็นเช่นนี้หากคิดทบทวนให้ดีก็ย่อมมีเงื่อนปมของมันอยู่ เหตุใดทั้งๆ ที่ไม่ใช่ผู้นำคณะรัฐประหารและไม่ใช่ผู้ถืออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในรัฐบาลคสช. แต่ถูกเกาะติดทุกฝีก้าวและทุกเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลจึงมักจะมาข้องแวะกับคนชื่อประวิตรอยู่ร่ำไป เชื่อว่าทีมงานด้านการข่าวของบิ๊กป้อมเองก็น่าจะเข้าใจในเหตุผล ทว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จนต้องยอมรับสภาพอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดประมาณนั้น
อย่างไรก็ตาม ปมเครื่องประดับหรูหราของบิ๊กป้อม มือตรวจสอบอย่าง ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ยืนยันว่าวันนี้จะไปยื่นร้องต่อป.ป.ช. เพราะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวอาจขัดต่อพ.ร.บ.ป.ป.ช.ปี 2542 ว่าด้วยการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยที่ไม่พบทรัพย์สินดังกล่าวปรากฏในเอกสารบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหนี้สินของพลเอกประวิตรเมื่อคราวยื่นต่อป.ป.ช.ในปี 2557
ด้าน เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ แม้จะยังไม่ไปยื่นแต่ก็ขู่ฟ่อดๆ ขอให้ป.ป.ช.ดำเนินการในเรื่องนี้โดยไม่ต้องให้มีคนไปยื่น ซึ่งก็ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นผล ล่าสุด วรวิทย์ สุขบุญ รักษาการเลขาธิการป.ป.ช. ระบุว่า กรณีนี้เป็นประเด็นที่สาธารณะให้ความสนใจและมีข้อสงสัย ทางสำนักงานป.ป.ช.จึงสามารถดำเนินกระบวนการตรวจสอบตามปกติได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้มีผู้มาร้อง
ในวันนี้ จะมีการรายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ทราบ เพื่อที่ทางสำนักงานป.ป.ช.จะดำเนินการตรวจสอบเนื่องจากมีกรณีที่สังคมสนใจเกิดขึ้น ซึ่งกรณีแบบนี้มีอยู่เป็นประจำ เมื่อพิจารณาจากท่วงทำนองของป.ป.ช.ประกอบกับคำยืนยันของบิ๊กป้อมที่บอกว่าจะชี้แจงเรื่องนี้ต่อป.ป.ช.โดยตรง คงไม่ต้องรอกันนาน ทุกอย่างน่าจะกระจ่างชัดในเร็ววัน บางทีคนจำนวนหนึ่งก็อาจพอจะคาดเดาผลที่จะออกมาได้แล้วว่าเป็นอย่างไร
ประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าคงเป็นเรื่องการปลดล็อคให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม ในขณะที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลบังคับใช้มาเป็นเวลา 60 วันแล้ว แต่พรรคการเมืองยังไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ นั่นหมายความว่า ยิ่งเนิ่นช้าออกไปโดยที่ผู้มีอำนาจไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ก็สุ่มเสี่ยงว่าพรรคการเมืองจะได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว
ฟังพลเอกประวิตรยืนยันวันวาน พรรคการเมืองจะไม่เสียโอกาส ทั้งนักการเมืองหน้าใหม่และหน้าเก่า ส่วนจะออกเป็นคำสั่งพิเศษรองรับการปลดล็อคที่ล่าช้าออกไปหรือไม่นั้น ยังไม่รู้ ก็พอจะดูทิศทางข้างหน้าได้บ้างว่า ผู้มีอำนาจคงต้องผ่าทางตันให้กับพรรคการเมือง ไม่ใช่ปล่อยเวลาทอดยาวออกไป โดยเหมือนเป็นการจงใจละเว้นการบังคับใช้กฎหมายลูกและรัฐธรรมนูญบางมาตรา
สิ่งสำคัญมากไปกว่านั้นคือ ยิ่งไม่ปลดล็อคยิ่งทำให้เห็นว่าผู้มีอำนาจกลัวฝ่ายการเมืองจนเกินไป ทั้งๆ ที่ตัวเองมีอำนาจพิเศษสารพัดอยู่ในมือ แต่อีกด้านพรรคการเมืองเองก็ไม่สามารถที่จะรอเวลาเพื่อลุ้นระทึกกันอย่างเดียว ทางพรรคเพื่อไทยโดย ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคถึงขั้นขู่ว่า กำลังพิจารณาช่องทางใช้สิทธิทางศาล อาจเป็นศาลอาญาหรือศาลปกครอง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของพรรคการเมือง ให้พรรคการเมืองได้ทำหน้าที่ตามกฎหมาย
งัดไม้นี้มาขู่เชื่อขนมกินได้เลยว่า ผู้มีอำนาจก็จะทำตัวเป็นพวกประเภททำในสิ่งตรงข้าม หรือพฤติกรรมเหมือนเด็กเอาแต่ใจคือ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุยิ่งขู่ยิ่งไม่ยอมทำตาม แต่หากฟังแบบมีเหตุมีผลเหมือนที่ สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ชายเดี่ยวออกมากระทุ้ง ขณะนี้กฎหมายพรรคการเมืองผ่านการบังคับใช้ไป 60 วัน เหลืออีก 30 วัน สำหรับพรรคการเมืองเดิมในการแจ้งเปลี่ยนแปลงสมาชิกของพรรคต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งหากไม่แจ้งและไม่ขอขยายเวลา กกต.จะสั่งให้พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพไป
ไม่เพียงเท่านั้น มีโจทย์ใหญ่ของพรรคการเมืองต่างๆ รออยู่ข้างหน้าคือ ภายใน 180 วันหรือวันที่ 5 เมษายน 2561 พรรคขนาดเล็กต้องหาสมาชิกให้ครบ 500 คน ต้องจัดหาทุนประเดิมให้ได้ 1,000,000 บาท ให้สมาชิก 500 คนชำระค่าสมาชิกให้ครบถ้วน ต้องจัดตั้งสาขาพรรคให้ครบ 4 ภาค และให้มีตัวแทนพรรคในจังหวัดที่ประสงค์จะส่งผู้สมัคร และต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่ เพื่อแก้ไขข้อบังคับพรรคและเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค
หากทำไม่เสร็จในอีก 4 เดือนข้างหน้า และหากไม่ขอขยายเวลา กกต.ก็จะสั่งให้พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพเช่นกัน แค่ 2 เรื่องที่หยิบยกมาก็ถือว่าสาหัสแล้ว เวลา 4 เดือนที่เหลือในการปฏิบัติตามกฎหมายพรรคการเมือง พรรคบางพรรคอาจมีขีดความสามารถในการดำเนินการ แต่หากปลดล็อคการเมืองช้าไปอีก 1 เดือน ก็จะเหลือ 3 เดือน ปลดล็อคช้าไปอีกเดือนก็จะเหลือ 2 เดือน บางพรรคอาจดำเนินการทัน แต่สำหรับพรรคที่ไม่ทัน อย่าลืมว่า จะไม่มีสิทธิในการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งหากปี่กลองการเลือกตั้งเริ่มดังขึ้น
แม้สมชัยจะออกตัวว่า ทั้งหมดนี้เป็นการประมาณการในเชิงเวลาโดยคร่าวๆ ไม่ได้บอกให้เชื่อ และไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆกับใคร แค่อ่านกฎหมายและประมาณการเวลาที่ต้องใช้ในแต่ละขั้นตอนเท่านั้น คงต้องรอให้กกต.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ถึงวันนั้นอาจจะมีความชัดเจนที่เป็นทางการ แต่ไม่จำเป็นต้องรอถึงขนาดนั้น เพราะความเป็นจริงเมื่อมีกฎหมายและต้องปฏิบัติตาม ทำไมต้องหาเหตุ หาปัจจัยมาอ้างกันรายวัน เหมือนมีเจตนาอื่นจนมองข้ามความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายไปเสียอย่างนั้น