พาราสาวะถี
ไม่ต้องแปลกใจและไม่ได้มีอะไรหวือหวาต่อการลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนในต่างจังหวัดแบบถี่ยิบในช่วงนี้ รวมไปถึงการประชุมครม.สัญจร ที่ปลายเดือนจะไปประชุมกันที่จังหวัดสุโขทัย ที่เริ่มมีประเด็นเรื่องงบประมาณ 5 พันล้านบาทและการปลุกผีสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เพราะไม่ว่าจะมีประเด็นอะไรไม่ใช่สาระสำคัญเท่ากับสิ่งที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมไปพูดกับประชาชนในแต่ละพื้นที่
อรชุน
ไม่ต้องแปลกใจและไม่ได้มีอะไรหวือหวาต่อการลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนในต่างจังหวัดแบบถี่ยิบในช่วงนี้ รวมไปถึงการประชุมครม.สัญจร ที่ปลายเดือนจะไปประชุมกันที่จังหวัดสุโขทัย ที่เริ่มมีประเด็นเรื่องงบประมาณ 5 พันล้านบาทและการปลุกผีสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เพราะไม่ว่าจะมีประเด็นอะไรไม่ใช่สาระสำคัญเท่ากับสิ่งที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมไปพูดกับประชาชนในแต่ละพื้นที่
สิ่งที่สังเกตได้จากการไปพบกับประชาชนไม่ว่าจะเป็นจังหวัดใดคือ ท่านผู้นำมีเรื่องที่อยากจะพูดอยู่แล้ว นอกเหนือจากการบอกกับคนในพื้นที่นั้นๆว่ารัฐบาลได้นำงบประมาณอะไรมาให้และจะทำอะไรให้บ้าง ที่ได้ยินกันเป็นประจำคือ ไทยแลนด์ 4.0 มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และรัฐบาลนี้เข้ามาเพื่อทำให้บ้านเมืองสงบ อาสามาทำให้ทุกคนมีความสุข ไม่ได้หวังลาภ ยศ สรรเสริญใดๆ
ที่เป็นของแถมทุกครั้งก็คือให้ไปเทียบเคียงกับสิ่งที่รัฐบาลที่ผ่านมาได้ดำเนินการไป ในแง่ของความโปร่งใสและการจัดสรรงบประมาณอย่างเป็นธรรมทั่วทุกภาค เนื้อหาสาระมีเท่านี้จริงๆ ซึ่งจะว่าไปถ้ามีใครกล้าย้อนถาม ก็คงจะเกิดปุจฉาที่ว่ามีการกระจายงบให้ทั่วถึงกันทุกภาคจริงในรัฐบาลนี้ แต่ยังไม่มากพอเท่ากับงบประมาณที่จัดสรรให้ในส่วนของกองทัพกระมัง นี่คือความจริงในช่วงเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา
ที่น่าจับตามากไปกว่านั้น ในที่ประชุมครม.เมื่อวันอังคาร สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เสนอให้มีการปรับงานพีอาร์ของรัฐบาลรับโหมดการเมืองที่จะเข้าสู่ห้วงของการเตรียมการสู่การเลือกตั้ง โดยเร่งทำให้สังคมเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลทำมานั้นเดินมาถูกทางแล้ว และต้องปรับกลยุทธ์ให้เท่าทันกับฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล ซึ่งพยายามดิสเครดิตกันมาตลอด จึงต้องสู้กันด้วยการข่าวเพื่อกลบข่าวร้ายที่มุ่งกระแทกใส่รัฐบาล
โดยที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่ง กอบศักดิ์ ภูตระกูล ให้เข้ามามีส่วนร่วมกับคณะทำงานดังกล่าวด้วย ซึ่งบิ๊กตู่มองว่ารัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯรายนี้มีจุดแข็งในเรื่ององค์ความรู้ เป็นคนสุภาพ เรียบร้อย จึงน่าจะทำงานด้านนี้ได้ดี ทั้งนี้ จะมีการประชุมคณะทำงานชุดนี้ในสัปดาห์หน้า โดยมี พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง และ สรรเสริญ แก้วกำเนิด ร่วมวงวางแผนด้วย ต้องจับตาดูว่าจะเป็นการชี้แจงหรือตอบโต้แบบดุเดือดเหมือนนักการเมืองเขาทำกัน
อ่านสัญญาณจากข้อมติของคณะรัฐมนตรีสหภาพยุโรปหรืออียู ผนวกเข้ากับสารของสหรัฐอเมริกาที่ส่งมายินดีในวันชาติของไทยเมื่อ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา เด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่าทิศทางที่พี่ใหญ่ของโลกและอียูต้องการจากประเทศไทยนั้นคือ การเดินเข้าสู่ถนนสายเลือกตั้งตามพันธะสัญญาที่ท่านผู้นำได้ไปบอกกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและบอกกับคนไทยว่า จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561
หากไม่มีการบิดพลิ้ว หรือหาเหตุอย่างอื่นมาทำให้โรดแมปต้องเลื่อนออกไป ห้วงเวลาที่เหลือจึงถือเป็นโค้งสุดท้ายของท่านผู้นำกับชาวคณะที่จะต้องเร่งสร้างผลงาน และทำทุกวิถีทางเพื่อให้คะแนนนิยมที่ถือว่าอยู่ในช่วงขาลงกลับมากระเตื้อง ก่อนที่จะมีการหย่อนบัตร ขณะเดียวกันอีกด้านก็จะมีแรงกระเพื่อมที่ถาโถมเข้าใส่จากทุกสารทิศ
เกมสหบาทาถ้าเป็นฝ่ายตรงข้ามยังพออ่านกันได้และแก้เกมกันทัน แต่กับคนหรือกลุ่มที่เคยเป็นพวกเดียวกันทว่าถูกผลักให้กลายเป็นศัตรู จะด้วยเหตุความจำเป็นหรืออะไรก็สุดแท้แต่ ตรงนี้ต่างหากที่น่ากลัวมากกว่า เห็นได้ชัดกรณีของ สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ชายเดี่ยว ที่ชักธงรบและหาเหตุมาทักท้วงในแต่ละเรื่อง เรียกเสียงฮือฮาจากสังคมได้ตลอดเวลา
นอกจากประเด็น 2 ว่าที่กกต.สายศาลที่สมชัยมองว่ากระบวนการคัดเลือกน่าจะไม่ถูกต้อง ล่าสุด การจัดเวทีรับฟังความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองที่มี เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นั่งหัวโต๊ะ โดยเชิญ 12 คนดังมาแสดงความเห็นในลักษณะโฟกัสกรุ๊ปเมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น สมชัยที่เป็นหนึ่งในผู้ได้รับเชิญก็ใส่เกียร์ฟันยับไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
แค่จั่วหัว เลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา มีการใช้ 3 อำนาจคือ อำนาจเงิน อำนาจอิทธิพลและอำนาจรัฐ เชื่อว่าทั้งอำนาจเงิน อำนาจอิทธิพลปัจจุบันเสื่อมถอยลดน้อยลง น่ากลัวที่สุดคืออำนาจรัฐ ซึ่งเกิดขึ้นทุกยุคสมัยของการเลือกตั้ง ถ้ารัฐบาลปัจจุบันไม่ยุ่งกับพรรคการเมืองใดเลย ไม่เอาตัวเข้าไปสนับสนุนพรรคการเมืองเพื่อวางแผนสืบทอดอำนาจ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการเลือกตั้งที่ดี
แต่ถ้าคิดว่าจะต้องเข้าไปมีโอกาสมีตำแหน่งในรัฐบาลหน้า อำนาจนี้จะน่ากลัวมาก เพราะจะถูกถ่ายทอดเข้าไปสู่ข้าราชการที่เป็นกลไกของการเลือกตั้ง ยังไม่รวมถึงผู้ที่จัดการเลือกตั้งว่า จะมีความเกรงใจรัฐบาลเพราะได้รับการส่งเสริมเข้ามาหรือไม่ จะมีความกล้าหรือไม่ มีการลูบหน้าปะจมูกหรือไม่ ทิ่มหมัดตรงเข้าหน้าผู้มีอำนาจปัจจุบันเต็มๆ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังเรียกร้องให้กล้าพูดและทำในสิ่งที่เป็นความจริง ทั้งเรื่องปลดล็อคพรรคการเมือง การเลือกว่าที่กกต.จากสายศาล ที่เด็ดที่สุดคงเป็นเรื่องหากประชาชนมีความสงสัยในพฤติกรรม จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องให้บุคคลนั้นชี้แจงต่อประชาชน ไม่ใช่เพิกเฉยแล้วอ้างเพียงแต่ว่าจะไปชี้แจงกับป.ป.ช.เอง ตรงนี้ไม่ต้องบอกว่าหมายถึงใคร
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องกลไกการคัดเลือกส.ว. 250 คนของคสช.ในอนาคต มีหลักประกันอย่างไรว่าจะได้คนดีมีความรู้ ไม่ใช่การตอบแทนใครบางคน หรือเป็นการให้รางวัลกับคนที่ไม่ออกมาวิจารณ์รัฐบาล และสุดท้ายการประชุมสนช.เพื่อพิจารณาว่าที่กกต. 7 คน ซึ่งโดยปกติต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ แต่ถ้ามีการลงมติ 3 วาระรวด สมชัยถึงกับแนะให้เอนกในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง กล้าประกาศว่าไม่ถูกต้องและแสดงจุดยืนด้วยการลาออก
ด้าน พลเอกเอกชัย ศรีวิลาศ แสดงความห่วงใยบนเวทีเดียวกัน ถึงการนับคะแนนและประกาศจำนวนส.ส.ร้อยละ 95 เพื่อนำไปสู่การเปิดประชุมสภา ที่เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งจะนำไปสู่วิกฤติเลือกตั้งทั้งหมด โดยที่ไม่มีการเขียนในรัฐธรรมนูญว่า หากเกิดปัญหาในการเลือกตั้งแล้วจะมีองค์กรไหนเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้ง นี่แค่หนังตัวอย่างซึ่งยิ่งนานวันเชื่อได้เลยว่าจะมีประเด็นที่แหลมคมถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นคำถามสร้างความหงุดหงิดในหัวใจของท่านผู้นำอยู่ตลอดเวลา อยู่ที่ว่าท่านจะควบคุมอารมณ์ได้หรือระเบิดอารมณ์เพื่อระบาย ภาพเหล่านี้มีให้เห็นบ่อยแน่ๆ