ปีศาจล่าสุดแห่งยุคสมัย

ตลาดเงินพูดกันถึงเงินเสมือนอิเล็กทรอนิกส์ที่ชื่อ บิทคอยน์ กันมา 4-5 ปีแล้ว ยิ่งพูด ค่าเงินเสมือนดังกล่าวยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์กันไปแล้ว แต่ความเข้าใจเงินเสมือนดังกล่าวที่มีทั้งด้านบวกและลบ ยังคงคลุมเครือ 


พลวัตปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล

ตลาดเงินพูดกันถึงเงินเสมือนอิเล็กทรอนิกส์ที่ชื่อ บิทคอยน์ กันมา 4-5 ปีแล้ว ยิ่งพูด ค่าเงินเสมือนดังกล่าวยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์กันไปแล้ว แต่ความเข้าใจเงินเสมือนดังกล่าวที่มีทั้งด้านบวกและลบ ยังคงคลุมเครือ

ล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เวียนหนังสือข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจโดยให้กระทรวงการคลัง ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลัก เร่งให้ข้อมูลประชาชนเพื่อให้เข้าใจความเสี่ยงที่ถูกต้องในเงินอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว

ท่าทีของรัฐบาลไทย ที่มีมุมมองเชิงลบดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะยามนี้ บิทคอยน์ ได้กลายสภาพเป็น “ปีศาจแห่งยุคสมัย” ที่ท้าทายอำนาจของธนาคารกลางทั่วโลกไปเรียบร้อยอย่างเป็นทางการแล้ว

เหตุผลเพราะ บิทคอยน์ปฏิเสธอำนาจของธนาคารทุกแห่ง โดยมองว่า จุดยืนทางด้านปรัชญาของธนาคารกลางคือการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง แต่บิทคอยน์ต้องการการกระจายอำนาจจากส่วนกลางอย่างถึงที่สุด

ในแง่ของรูปธรรมเชิงจารีต มีคำถามว่า บิทคอยน์เป็นสกุลเงินหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่แน่นอน เพราะบิทคอยน์ปรากฏตัวในรูปดิจิทัลที่ไร้ตัวตน แต่มีมูลค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ จึงมีฐานะเป็นเงินตราเสมือน ที่แอบอิงเข้ากับทุกสกุลในโลกได้ จุดเด่นข้อนี้ ทำให้บิทคอยน์มีฐานะเหนือกว่าค่าดอลลาร์สหรัฐด้วยซ้ำ

หัวใจหลักของบิทคอยน์คือว่าตัดเงินสด และตัดธนาคารทิ้งไป เท่ากับตัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลบานตะเกียง แต่มีจุดอ่อนคือใช้ภายในประเทศต้องเสียค่าธรรมเนียม ดังนั้นจึงเหมาะกับการทำธุรกรรมระหว่างประเทศที่ต้องทำข้ามสกุลเงินเท่านั้น

จุดเด่นของบิทคอยน์ ที่เปิดช่องในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องใช้เงินสด สามารถกระทำได้ผ่านอุปกรณ์พกพาได้ โดยเสียค่าธรรมเนียมต่ำมาก แต่นั่นยังไม่ทำให้บิทคอยน์โด่งดังเท่ากับการที่มันสามารถนำไปเก็งกำไรกันได้ จนกระทั่งวันนี้ค่าของบิทคอยน์พุ่งกระฉูด เพราะคนแห่กันขุด (Mining) กันยกใหญ่

มาถึงตรงนี้ เป้าหมายของผู้พัฒนาบิทคอยน์ ที่ต้องการให้เปลี่ยนมาใช้เงินสกุลนี้กันทั้งโลก โดยออกแบบระบบที่เน้นให้คนเข้ามาใช้ โดยที่ตัวระบบมันไม่มีศูนย์กลาง และไม่มีเจ้าของชัดเจน ทำงานด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์กับตัวผู้ใช้ (User) เองเพื่อเก็บข้อมูลธุรกรรม และใช้คอมพิวเตอร์ของนักขุด (Miner) เพื่อประมวลผล ก็เริ่มเบี่ยงเบนออกไปจากการปฏิเสธ “การรวบอำนาจเก่า” มาเป็นการ “ท้าทายอำนาจเก่า”

ยิ่งบิทคอยน์ได้รับความนิยมมากเท่าใด นักขุด หรือนักลงทุน ก็กลายสภาพเป็นนักถอดรื้อระบบ ใกล้เคียงกับนักปฏิวัติวงการเงินในอดีตอย่างรุนแรง เพราะมีส่วนทำให้มูลค่าของสกุลเงินสำคัญของโลกถูก “ดูเบา” หรือ “ลดเครดิต” ในสายตาของนักลงทุนด้วยอัตราเร่งเร็วกว่าปกติ

ผลลัพธ์จากการท้าทายอำนาจธนาคารกลางดังกล่าว ทำให้ธนาคารพาณิชย์สำคัญของโลก และบรรดาร้านค้าทั้งหลาย ให้การยอมรับบิทคอยน์ในการทำธุรกรรมปกติต่ำมาก และไม่มีธนาคารไหนในโลกที่รับซื้อขายสกุลเงิน BTC โดยเปิดเผยและเป็นทางการ

ข่าวเกี่ยวกับบางบริษัทที่โน่น ที่นี่ ทำการใช้บิทคอยน์เพื่อจ่ายเงินเดือน หรือทำธุรกรรมอื่น ถือเป็นแค่การลองผิดลองถูก ไม่ใช่ธุรกรรมในกระแสธุรกิจแต่อย่างใด

พฤติกรรมการเก็งกำไรของเหล่านักลงทุนหรือนักขุดบิทคอยน์ โดยไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรง ทำให้ภาพลักษณ์ถูกมองง่ายๆ ว่าน่าจะมีการเข้ามาปั่นราคา ทำนองเดียวกันกับวิธีการปั่นหุ้น และเนื่องจากตัวระบบมันตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินได้ยาก เพราะข้อมูลการทำธุรกรรมเก็บไว้กับ User หลายๆ User ผูกกันเป็น p2p จึงเป็นการง่าย ที่จะฟอกเงิน

ยิ่งมีการสร้างข่าวที่พิสูจน์ยากว่า มีการฟอกเงินช่วยผู้ก่อการร้ายบางกลุ่มในตะวันออกกลาง ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของบิทคอยน์เลวร้าย เข้าทางของบรรดานายธนาคารกลางทั้งหลาย

เอาง่ายๆ ถ้าผมจะฟอกเงินก็เอาเงินเน่าๆ เข้าไปซื้อบิทคอยน์แล้วขายออกมาถือเป็นเงินสด หรือเข้าธนาคาร ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ บอกว่าเงินนี้ได้มาจากทำ mining หรือเล่นคาสิโนออนไลน์ หรือเข้าไปเก็งค่าเงิน BTC แล้วได้กำไร ศาลจะว่าไงละทีนี้ อัยการจะหาหลักฐานมาเอาผิดยังไงละ ในเมื่อสกายเน็ตมันไม่มีศูนย์กลางของระบบ

ในกรณีของไทย ธุรกรรมเกี่ยวกับบิทคอยน์ยังไม่ได้รับการอนุมัติให้เปิดดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย เคยมีกรณี บริษัท Bitcoin Co. Ltd พยายามในการยื่นขอเปิดทำการแต่ถูกธนาคารแห่งประเทศไทยปฏิเสธ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ไม่มีกฎหมายมารองรับมัน

สงครามชักเย่อ ระหว่างธนาคารกลางทั้งโลกกับบิทคอยน์ เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น แต่ความนิยมแพร่หลายของเงินเสมือนนี้ (ซึ่งแตกต่างจากเงินเสมือนอื่นๆ ซึ่งมีเกลื่อนกราด) เพราะผู้บริโภคส่วนหนึ่งตระหนักว่า นี่คือหนึ่งเงินสกุลใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ในการทำธุรกรรม และส่งมอบอำนาจในการควบคุมเบ็ดเสร็จทางด้านการเงินให้ผู้บริโภคได้ ในขณะที่ความพยายามจะทำให้บิทคอยน์มีฐานะผิดกฎหมาย ก็ยังไม่เกิดขึ้น และดูเหมือนจะยังทำไม่ได้ ทำให้ความคลุมเครือของบิทคอยน์ยังดำรงต่อไป

ปีศาจบิทคอยน์ที่กำลังหลอกหลอน และเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับธนาคารกลางทั่วโลก อาจจะบรรลุเป้าหมายเป็นเงินสกุลใหม่ของโลก หรือล้มเหลวเพราะถูกทำให้ผิดกฎหมายทั่วทั้งโลกในฐานะ “ผู้ก่อการร้ายของระบบเงินตรา” ถือเป็นปรากฏการณ์ของยุคสมัย ที่ต้องทำความคุ้นเคย เหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งมนุษย์จำต้องเรียนรู้และเข้าใจ “วิธีการทางวิทยาศาตร์” ในฐานะ “ศัตรูของศาสนาและศรัทธา” มาแล้ว

ไม่ว่าจะชื่นชอบ หรือ ได้-เสีย กับมันหรือไม่

Back to top button