พาราสาวะถี

เข้าใจแต่คงไม่เห็นใจคสช.ที่ยังไม่ปลดล็อคให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม โดยอ้างเรื่องของความเคลื่อนไหวที่สั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลคสช. ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงไม่มีใครที่จะเคลื่อนไหวแล้วกระทบเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะกลไกของคสช.และรัฐบาลมีเต็มพื้นที่ นักการเมืองคนไหนกระดิกตัวก็สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวได้


อรชุน

เข้าใจแต่คงไม่เห็นใจคสช.ที่ยังไม่ปลดล็อคให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม โดยอ้างเรื่องของความเคลื่อนไหวที่สั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลคสช. ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงไม่มีใครที่จะเคลื่อนไหวแล้วกระทบเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะกลไกของคสช.และรัฐบาลมีเต็มพื้นที่ นักการเมืองคนไหนกระดิกตัวก็สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวได้

แต่เป็นเพราะที่มาแห่งอำนาจเมื่อไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนเสียแล้ว ทุกจังหวะก้าวจึงเต็มไปด้วยความหวาดระแวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวผู้นำ อ่อนไหวและหวาดกลัวกันถึงขนาดที่เวลาไปปฏิบัติงานในต่างจังหวัดถึงขั้นห้ามไม่ให้มีการใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปผู้นำกันเลยทีเดียว ถ้าถึงขนาดนี้ก็สมควรแก่เวลาที่จะรีบคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้นำของเขาเองจะดีกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560 ที่เปิดช่องให้พรรคการเมืองทำธุรการได้บางประการ และเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างพรรคการเมืองใหม่กับพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิมแล้ว เห็นทีการที่จะไม่มีใครสืบทอดอำนาจหรืออยู่ต่อคงเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างไม่ใช่แค่เพิ่งมาคิดแล้วแก้กันไปตามสถานการณ์

ทว่าเป็นการแก้กันตามสถานการณ์ที่ต้องการจะให้มันเป็นไปเช่นนั้น เพราะเมื่อมองไปยังสิ่งที่มันเกิดขึ้นในมิติทางด้านการเมืองแล้ว จะเห็นความเชื่อมโยงและเจตนาของผู้มีอำนาจอย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่ อย่างกรณีกฎหมายพรรคการเมือง ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีผู้กระทำผิดพลาด ที่หนีไม่พ้นกรธ.ในฐานะผู้ยกร่างและสนช.ในฐานะผู้ยกมือผ่านร่างกฎหมายให้มีผลบังคับใช้

หากทั้งสองฝ่ายไม่มีความผิด ก็อยู่ที่คสช.และท่านผู้นำที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบไปเต็มๆ เพราะพรรคการเมืองทุกพรรคไม่ได้มีใครกระทำผิดกฎหมายที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา  พอจะไปถามหาสปิริตจากคนที่ถืออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดคงยากที่จะมีใครหน้าไหนแอ่นอกแสดงความรับผิดชอบ

เมื่อเป็นเช่นนั้น คำถามที่ตามมาว่าด้วยโรดแมปเลือกตั้งจึงไม่ควรที่จะถูกทวงหรือทักท้วงจากท่านผู้นำอีก โอกาสที่จะเลื่อนหรือจะเลือกมันขึ้นอยู่กับคนคนเดียวจริงๆ มิหนำซ้ำ มันยังอยู่ที่ว่ากระบวนการจัดระเบียบของพรรคเพื่อสืบทอดอำนาจ เรียบร้อยตามเป้าหมายหรือไม่ รวมไปถึงการย่อยสลายขุมกำลังของพรรคเก่าเพื่อให้ปันใจมาให้พรรคใหม่ (ที่ดูมีอนาคต) ด้วยว่าประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหน

สัญญาณที่ว่าด้วยการกว้านซื้อตัวอดีตส.ส.ที่ถูกปล่อยผ่านบทสัมภาษณ์ของ สมคิด เชื้อคง อดีตส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย หากไม่จริงและไม่มีมูล เสียงปฏิเสธจากทีมโฆษกคสช.ต้องหนักแน่นและทันทีทันใด แต่การบอกว่าจะรีบไปตรวจสอบข้อมูลแล้วนำกลับมาแจ้งให้ประชาชนทราบ พร้อมสำบัดสำนวนที่ตอบโต้เป็นภาษาการเมืองนั้น มันสะท้อนภาพความนัยอะไรบางอย่างได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ผู้มีอำนาจวาดฝันและคาดหวังว่าจะเดินอย่างไรต่อไปหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่รู้จะเรียกได้ว่าเป็นผู้พลาดหวังหรือฝันสลายได้หรือไม่ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเสียงวิจารณ์หลายเรื่องที่มีต่อรัฐบาลคสช.ก่อนหน้านี้ แม้จะอ้างความเห็นส่วนตัวแต่มันก็สะท้อนท่าทีของคนทั้งพรรคได้ ยิ่งล่าสุดกับคำสั่งหัวหน้าคสช.มาตรา 44 ยิ่งทำให้เห็นภาพอาการอกหักรักคุดได้เด่นชัดขึ้น

คำพูดของ จุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคที่โดยปกติมักจะแทงกั๊กมาโดยตลอด แต่หนนี้สะท้อนถึงอารมณ์ไม่ได้ดั่งใจผิดไปจากคาด (หวัง) อย่างยิ่ง การใช้มาตรา 44 แก้ไขกฎหมายพรรคการเมืองไม่ได้เป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมาย  ในยุคที่การเมืองอยู่ในช่วงไม่ปกติ ประวัติศาสตร์สอนมายาวนานและประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยเดิมเสมอ

ขอฝากบอกสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทั่วประเทศว่าไม่ต้องขวัญเสีย พรรคยังมีอุดมการณ์มั่นคง 10 ข้อเหมือนเดิม เรามุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติ รับใช้ประชาชน พวกเราต้องอดทนและจับมือกันร่วมฝ่าฟันไปให้ได้ ทุกๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมามันคือโอกาสที่จะทำงานให้พรรคเข้มแข็งต่อไป ขอให้กำลังใจสมาชิกพรรคทุกคน และมาช่วยกันทำงานเพื่อพรรคให้เข้มแข็ง เพื่อพรรคจะได้มีศักยภาพรับใช้ประชาชนได้เต็มที่

นี่เป็นอาการที่หากเป็นมวยจะต้องเรียกว่าเกิดภาวะเสียเหลี่ยม เสียศูนย์ ขึ้นเวทีด้วยความฮึกเหิมเป็นมวยค่ายใหญ่ และเชื่อมั่นว่ากรรมการจะต้องเกรงใจ ปันใจ แม้จะมีของแถมเล่นนอกกติกา ก็พร้อมที่จะทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ตักเตือน และเมื่อเบียดกันสูสีก็เชื่อว่ากรรมการจะหันมาชูมือให้มวยค่ายนี้เป็นผู้ชนะอยู่เป็นประจำ แต่เวทีมาตรฐานรอบนี้ กรรมการกลับไม่เป็นเหมือนเดิม

แรกเริ่มก่อนจะได้ขึ้นตัดสินก็บอกว่าพร้อมที่จะช่วยและส่งเสริมให้มวยค่ายใหญ่และเก่าแก่เป็นมวยดัง แต่พอได้เป็นกรรมการแล้ว แค่ตัดสินอย่างเดียวไม่พอ มันต้องยิ่งใหญ่กว่านั้น หันซ้ายแลขวาแล้วพบว่า มวยค่ายใหญ่มีแต่ประเภทเขี้ยวลากดิน ขืนไปอุ้มมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง สู้หันไปเชียร์หรือจับมือกับค่ายใหม่ที่ดูมีอนาคตน่าจะได้ผลประโยชน์มากกว่า

ว่าแล้วนอกจากเป็นกรรมการที่โดยฐานะแล้วจะต้องวางตัวเป็นกลาง จึงหันไปร่างกติกาที่เอื้อประโยชน์ให้กับมวยค่ายใหม่ไปเสียฉิบ ส่วนพวกหน้าเก่าเอาแต่คอยกระทืบเท้าขู่ต้องเขียนกติกาไม่ให้กระดิกได้ เมื่อวางแผนได้แยบยลขนาดนี้ เขียนกติกาเอง ตัดสินเอง มิหนำซ้ำ ยังให้ลูกน้องไปวิ่งวางเดิมพันเองด้วย อย่างนี้แล้วผลประโยชน์ทั้งหมดมันจะตกไปไหนเสีย

เพลียใจที่สุดย่อมหนีไม่พ้นค่ายมวยเก่าแก่ ส่วนค่ายของนายใหญ่ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว ขึ้นชกรอบหน้าเป็นได้แค่มวยรองบ่อน แม้จะเป็นขวัญใจกองเชียร์มาก่อนก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดาเซียนทั้งหลายจึงมองกันต่อไปว่า ทั้งสองค่ายถูกบีบหน้าดำหน้าเขียวกันขนาดนี้ ยังจะคงเป็นคู่แค้นกันอีกต่อไป หรือจะหันมาจับมือกันต่อสู้กับกรรมการขี้โกง

Back to top button