3 หุ้นโรงแรม เฮ!
จากการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง 55 จังหวัด โดยให้สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการท่องเที่ยวในเมืองรอง อาทิ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าซื้อสินค้าโอท็อป เป็นต้น รวมกันแล้วไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท มาหักลดหย่อนภาษี ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 2561
เส้นทางนักลงทุน
จากการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง 55 จังหวัด โดยให้สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการท่องเที่ยวในเมืองรอง อาทิ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าซื้อสินค้าโอท็อป เป็นต้น รวมกันแล้วไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท มาหักลดหย่อนภาษี ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 2561
โดยใช้ใบเสร็จรับเงินจากผู้ประกอบการที่ไปรับบริการหรือซื้อสินค้าเป็นหลักฐานเท่านั้น และจะมีการ ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละ 100 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องในการจัดอบรมสัมมนาในพื้นที่เมืองรอง 55 จังหวัด หรือเขตพื้นที่อื่นใดที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากำหนด
ประกอบกับเข้าสู่ช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2561 บรรยากาศการท่องเที่ยวไทยยังดีต่อเนื่อง ทั้งการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทยและการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในปีนี้ สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งกลับมาจัดงานเทศกาลปีใหม่กันอย่างคึกคัก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ทยอยเดินทางท่องเที่ยว ในช่วง 4 วัน (ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2560-วันที่ 2 มกราคม 2561) ของเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2561 นี้
ทั้งนี้มองว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มโรงแรม
ดาวเด่นสุด บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีโรงแรมอยู่ในจังหวัดเมืองรองกว่า 10 แห่ง ภายใต้แบรนด์ Hop Inn มีฐานลูกค้าเป็นกลุ่ม Budget hotel ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย ERW มีโรงแรม Hop Inn รวม 32 แห่ง และมีแผนการที่จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 50 แห่งในเครือทั่วประเทศ
โดยบริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นผู้มีรายได้ 1.5-5.0 แสนบาทต่อปี (เสียภาษีในอัตรา 10% ต่อปี มีประชากรรวมกัน 2.5 ล้านคน) นอกจากนั้นยังได้ประโยชน์จากธุรกิจโรงแรมในพื้นที่หลักจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอื่นๆ ด้วย
อีกทั้งทางนักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ มีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานในอนาคต เนื่องจากการขยายฐานโรงแรมกลุ่ม Midscale และกลุ่ม Budget Hotel ที่มีความสามารถในการปรับเพิ่ม ADR ได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปี 2561 RevPar จะมีการเติบโตราว 4-5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีมาตรการลดภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยวในปี 2561 ERW จะได้รับอานิสงส์ เนื่องจากมีโรงแรมกระจายตัวทั่วประเทศและเป็นกลุ่มที่มี Demand เติบโตโดดเด่น จึงปรับราคาเป้าหมายจาก 7.30 บาท เป็น 8.90 บาท
รองลงมาเป็น บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ซึ่งมีธุรกิจในประเทศเป็นหลัก (สัดส่วนธุรกิจโรงแรมในประเทศ 81% ต่างประเทศ 19%) โดยธุรกิจโรงแรมและอาหารส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวหลักรวมไปถึงมีบางส่วนในพื้นที่จังหวัดเมืองรอง ส่วนอาหารจะอยู่ในประเทศ 100% (สัดส่วนธุรกิจโรงแรมและอาหาร 51% ต่อ 49%)
นอกจากนี้นักวิเคราะห์ บล. บัวหลวง มองว่าแม้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นแรง แต่คงแนะนำให้นักลงทุน let profit run เพื่อรับแนวโน้มกำไรดีงาม อีกทั้งยังมีโอกาสปรับประมาณการเพิ่มจากการซื้อกิจการหรือลงทุนใหม่ๆ โดยนำส่วนลด 20% ออกจากการประเมินราคาเป้าหมายด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายสิ้นปี 2561 ที่คิดด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสดขึ้นเป็น 60 บาท และมองว่า CENTEL สมควรที่จะถูกปรับระดับมูลค่าการซื้อขายของหุ้นขึ้น เนื่องจากบริษัทจะได้รับประโยชน์เต็มที่จากการท่องเที่ยวในประเทศและการบริโภคที่ฟื้นตัว อีกทั้งยังมีอัพไซด์จากดีลเข้าซื้อกิจการ
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 60 บาท
ส่วน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ได้ประโยชน์ไม่มากนักเนื่องจากธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่จะอยู่ต่างประเทศ โดยในประเทศจะมีสัดส่วนธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 46% (ธุรกิจร้านอาหารในประเทศมีสัดส่วน 63%)
อย่างไรก็ดีทางด้านนักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส คงมองว่าแนวโน้มไตรมาส 4 ปี 2560 และปี 2561 MINT ยังมีความสดใส โดยเป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล (ไตรมาส 4 และไตรมาส 1 เป็นช่วง High season ของธุรกิจท่องเที่ยว) และจากการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมต่างประเทศ คือ ออสเตรเลีย โปรตุเกส และบราซิล รวมทั้งในประเทศก็คาดว่าจะยิ่งดีขึ้น ธุรกิจอาหารมีแนวโน้มว่าจะทำกำไรได้ดีขึ้นหลังจากปิดสาขาที่ไม่ทำกำไรในสิงคโปร์ไปแล้วและมีการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
เห็นได้ว่าในปี 2561 จะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนและการปรับปรุงโรงแรมในต่างประเทศไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผลประกอบการจะมีการเติบโตที่ดีขึ้น คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2561 เติบโต 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 50.00 บาท
มาตรการข้างต้นถือเป็นการต่ออายุมาตรการ “เที่ยวทั่วไทย ไปถึงถิ่น” พร้อมกับต่ออายุให้กลุ่มโรงแรมให้มีแรงขับเคลื่อนต่อไป อย่าง “การรับรู้รายได้” และ “การดีดตัวของราคาหุ้น” รองรับมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวนั่นเอง