“นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ” “BEAUTY โชว์ 5 ปี กำไรโตกระฉูด 200%”
“นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ติด 1 ใน 5 ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ติด TOP CEO 2017 จากการจัดอันดับของหนังสือพิมพ์ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ในฐานะผู้ก่อตั้งและผู้บริหารที่ผลักดันผลการดำเนินของ BEAUTY มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และมีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
*TOP CEO 2017
“นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ติด 1 ใน 5 ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ติด TOP CEO 2017 จากการจัดอันดับของหนังสือพิมพ์ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ในฐานะผู้ก่อตั้งและผู้บริหารที่ผลักดันผลการดำเนินของ BEAUTY มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และมีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดย BEAUTY เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจพาณิชย์ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 ด้วยทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 300 ล้านบาท ที่ราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 8 บาทต่อหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น จนมีการเปลี่ยนแปลงพาร์เป็น 0.10 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 ซึ่งส่งผลให้จำนวนหุ้นสามัญเพิ่มขึ้นจากเดิม 300 ล้านหุ้น เป็นจำนวน 3,000 ล้านหุ้น
ทั้งนี้ BEAUTY ประกอบธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว ปัจจุบันมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม 4 ประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Make-up) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin care) อุปกรณ์เสริม (Accessories) และผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ( Food Supplement )
ภายใต้แนวคิด 5 รูปแบบ ประกอบด้วย สาขาบิวตี้ บุฟเฟต์ (BEAUTY BUFFET), สาขาบิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE), สาขาบิวตี้ มาร์เก็ต (BEAUTY MARKET), สาขาเมด อิน เนเจอร์ (MADE IN NATURE), และสาขาบิวตี้ พลาซ่า (BEAUTY PLAZA) ซึ่งแต่ละแนวคิดจะมีความแตกต่างกันในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจำหน่าย และตำแหน่งทางการตลาด เพื่อการตอบสนองความต้องการต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน
สำหรับ BEAUTY เป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีกำไรและรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2555 มีรายได้รวม 777 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 173 ล้านบาท, ปี 2556 มีรายได้รวม 1,003 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 211 ล้านบาท, ปี 2557 มีรายได้รวม 1,385 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 301 ล้านบาท, ปี 2558 มีรายได้รวม 1,792 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 402 ล้านบาท และปี 2559 รายได้รวม 2,559 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 656 ล้านบาท ซึ่งรายได้รวมและกำไรสุทธิเติบโตกว่า 200% จากปี 2555 ถือว่าโตอย่างมากเลยในเวลาเพียง 5 ปี
อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และทุนสำรองต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ซึ่งในปี 2555 มีการจ่ายเงินปันผล 0.35 บาทต่อหุ้น, ปี 2556 มีการจ่ายเงินปันผล 2 ครั้ง รวมเป็น 0.65 บาทต่อหุ้น, ปี 2557 มีการจ่ายเงินปันผล 2 ครั้ง รวมเป็น 0.99 บาทต่อหุ้น, ปี 2558 มีการจ่ายเงินปันผล 2 ครั้ง รวมเป็น 0.133 บาทต่อหุ้น, ปี 2559 มีการจ่ายเงินปันผล 2 ครั้ง รวมเป็น 0.218 บาทต่อหุ้น และในปี 2560 มีการจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 จำนวน 0.15 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลในช่วงปี 2555-2557 ยังมีราคาพาร์ที่ 1 บาทต่อหุ้น ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงพาร์เป็น 0.10 บาทต่อหุ้นในปี 2558
ด้านแผนการดำเนินงานในปี 2560 BEAUTY มั่นใจว่าจะมีรายได้รวมเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 3,100 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ และจะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 20% โดยมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จากภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2560 มีกำไรสุทธิ 821 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 478 ล้านบาท และมีรายได้รวม 2,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,857 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของทุกแบรนด์ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอย่างมาก และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ครอบคลุมต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้า ประกอบกับบริษัทได้มีการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายครบทุกช่องทาง ส่งผลให้ยอดจำหน่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกช่องทาง
โดยเฉพาะช่องทาง E-Commerce มียอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 112% คิดเป็นสัดส่วน 4.30% ของรายได้รวม ขณะที่ช่องทางต่างประเทศได้มีการขยายตลาดไปในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) และในแถบประเทศเอเชียต่อเนื่อง มียอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 216% คิดเป็นสัดส่วน 13.42% ของรายได้รวม และยอดขายต่อสาขาเดิม (Same Store Sales Growth) มีอัตราการเติบโตที่ 18.57%
ด้านช่องทางการจำหน่าย ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสาขาในประเทศรวม 340 สาขา แบ่งเป็น ร้าน BEAUTY BUFFET จำนวน 258 สาขา, ร้าน BEAUTY COTTAGE จำนวน 73 สาขา และร้าน BEAUTY MARKET จำนวน 9 สาขา อีกทั้งยังมีจุดขาย ณ คิง เพาเวอร์ จำนวน 8 สาขา 22 จุดจำหน่าย และวางจำหน่ายสินค้าผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น (7-ELEVEN) จำนวน 950 สาขา
ขณะที่ตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมี Independent shop จำนวน 19 สาขา โดยตั้งอยู่ในประเทศเวียดนาม จำนวน 16 สาขา และในประเทศฟิลิปปินส์ จำนวน 3 สาขา เมื่อเดือนกันยายน 2560 ได้เปิดเพิ่มจำนวน 3 สาขา ณ Uptown Mall และมีแผนขยายสาขาในประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มอีก จำนวน 4 สาขา
อีกทั้งบริษัทยังมีแผนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในรูปแบบของ non-exclusive distributor ใน 3 ประเทศ คือ ประเทศเมียนมา, สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งขณะนี้ได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในประเทศเมียนมาเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในสปป.ลาว และประเทศกัมพูชา ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2561 จากปัจจุบันที่บริษัทยังมีสาขาที่เป็นรูปแบบ Shop in shop อยู่ใน 3 ประเทศ รวมจำนวน 131 สาขา ประกอบด้วย ที่ฮ่องกง จำนวน 93 สาขา, อินโดนีเซีย จำนวน 19 สาขา, ไต้หวัน จำนวน 19 สาขา ซึ่งทุกแห่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) มีการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากมีการปรับพาร์เป็น 0.10 บาท โดยในปี 2558 มีมาร์เก็ตแคป 17,250 ล้านบาท จากราคาสิ้นปีอยู่ที่ 5.75 บาท, ในปี 2559 มีมาร์เก็ตแคป 35,100 ล้านบาท จากราคาสิ้นปี 11.70 บาท และในปี 2560 ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2560 มีมาร์เก็ตแคป 62,456 ล้านบาท จากราคาปิด 20.80 บาท ซึ่งทั้งมาร์เก็ตแคป และราคาหุ้นมีการปรับเพิ่มขึ้นกว่า 200% จากปี 2558
สำหรับหุ้น BEAUTY ถ้าดูจากผลการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือกำไรเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นอีกบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งนักลงทุนที่ลงทุนระยะยาวและถือมาตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นจนถึงปัจจุบัน จะสร้างการเติบโตให้กับพอร์ตมหาศาล