“พีระพงศ์ จรูญเอก” “ORI พลิกธุรกิจขึ้นท็อป 5 อสังหาฯ”
ORI ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7ตุลาคม 2558 ภายใต้การบริหารงานบริษัทของ ”พีระพงศ์” ซึ่งภายในระยะเวลาไม่นาน สามารถพัฒนาบริษัทให้เติบโตในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นโครงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ผลประกอบการบริษัท และราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนผลักดันให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 3 ปี
*TOP CEO 2017
ORI ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7ตุลาคม 2558 ภายใต้การบริหารงานบริษัทของ ”พีระพงศ์” ซึ่งภายในระยะเวลาไม่นาน สามารถพัฒนาบริษัทให้เติบโตในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นโครงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ผลประกอบการบริษัท และราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนผลักดันให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 3 ปี
โดยเฉพาะในงวดปี 2560 ที่ ORI พลิกโฉมครั้งใหญ่ ด้วยการประกาศดีลลงทุนใหญ่ที่เป็นไฮไลต์สำคัญมากถึง 3 ดีล จนส่งผลให้ ORI ขยับขึ้นมาเป็นหนึ่งในหุ้นอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่ได้รับความสนใจในวงกว้าง ได้แก่
1. การเดินหน้าเข้าซื้อหุ้นบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการระดับลักซัวรี่ Park 24 จำนวน 10 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเข้าลงทุนใน พราวด์ เรสซิเดนซ์ ทางซีอีโอ ORI มองว่า จะส่งผลบวกโดยตรงต่อบริษัท ทำให้เกิดการซินเนอร์จี้ระหว่างกัน และยังทำให้บริษัทรุกเข้าสู่การทำตลาดคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ได้อย่างรวดเร็ว สามารถรองรับกำลังซื้อลูกค้าต่างชาติที่มีในตลาดจำนวนมาก
อีกทั้งยังส่งผลให้ยอดขายรอโอน (แบ็กล็อก) ในมือหลังเข้าทำรายการสูงขึ้นเป็นระดับ 2.5 หมื่นล้านบาทในทันที (ณ ช่วงเวลานั้น) และติดอันดับท็อป 5 ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับยังมีแบรนด์คอนโดมิเนียมทั้งหมด 4 แบรนด์ ได้แก่ เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และพาร์ค
2. ประกาศความร่วมมือกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากญี่ปุ่น เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในไทย โดย ORI ได้จำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัทย่อยในเครือจำนวน 4 แห่ง ในสัดส่วน 49% ต่อบริษัท ให้แก่บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด คิดเป็นมูลค่ารวม 788 ล้านบาท
สำหรับบริษัทย่อยที่จำหน่ายหุ้นไป ได้แก่ บริษัท ออริจิ้น สเฟียร์ จำกัด, บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิ้ล จำกัด, บริษัท ออริจิ้น รามคำแหง จำกัด และบริษัท ออริจิ้น ไพร์ม 2 จำกัด ซึ่งหลังทำรายการแล้ว ORI จะมีสัดส่วนถือหุ้นเหลือแห่งละ 51% จากเดิม 100% ขณะที่โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด จะเข้ามาร่วมถือหุ้นแห่งละ 49%
โดยทางบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการร่วมกัน 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งเปิดขายในไตรมาส 3/2560 จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการ Knightsbridge รามคำแหง, 2.โครงการ Knightsbridge prime อ่อนนุช และ 3.โครงการ Knightsbridge prime รัชโยธิน ส่วนอีก 1 โครงการ จะเปิดขายในช่วงปี 2561 ดังนั้น การที่ ORI มีต่างชาติรายใหญ่เข้ามาเป็นพันธมิตร (พาร์ตเนอร์) จึงทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน หรือเรียนรู้ด้านนวัตกรรมและดีไซน์ต่อกันทั้งสองฝ่าย รวมถังยังสามารถรองรับการพัฒนาคอนโดมิเนียมสไตล์ญี่ปุ่น
3. ประกาศเซ็นสัญญานำแบรนด์และเชนของเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) โดยมีเป้าหมายพัฒนาโรงแรมใหม่พร้อมทั้งบริหารงานจำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 7,500 ล้านบาท ได้แก่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ, สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา และฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง
ทั้งนี้ มีกำหนดทยอยเปิดให้บริการครบทั้ง 3 แห่ง ภายในปี 2564 ประกอบกับการนำแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท เข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก อีกทั้งในส่วนของโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ ทางบริษัทจะร่วมมือกับโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด เข้ามาพัฒนาโครงการร่วมกัน
นอกจากความคืบหน้าทางแผนธุรกิจแล้ว ในด้านพัฒนาการผลประกอบการปี 2560 ทาง ORI ยังทำได้โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยงบล่าสุดงวด 9 เดือนแรกของปี 2560ทางบริษัทสามารถทำรายได้รวมไปแล้วสูงถึง 4,014 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 966 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิมากถึงระดับ 24% ซึ่งถือเป็นอัตราทำกำไรสุทธิสูงสุด (นิวไฮ) ในรอบ 3 ปี ตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ดังนั้น เพียงแค่เฉพาะงบ 9 เดือนแรกปี 2560 ทางบริษัททำรายได้และกำไรสุทธิเติบโตมากกว่าภาพรวมทั้งปี 2559 ที่มีรายได้รวม 3,199 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 637 ล้านบาท และมีอัตราทำกำไรสุทธิ 19% ไปแล้ว จึงสะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างธุรกิจ ORI ในขณะนี้มีความแข็งแกร่งและทุกโครงการลงทุนมีศักยภาพสร้างอัตราทำกำไรระดับสูงเสมอ
สำหรับภาพรวมงวดปี 2560 ทาง “พีระพงศ์” ประเมินว่า หลังจากช่วง 9 เดือนแรกทางบริษัททำผลการดำเนินงานได้ดีตามเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว ภาพรวมทั้งปี 2560จึงยังคงเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ระดับ 14,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้ทั้งปีอยู่ที่จำนวน 9,000 ล้านบาท
ขณะที่ฐานราคาหุ้น ORI เองได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องขานรับพื้นฐานเช่นกัน โดยล่าสุดหุ้น ORI ได้ซื้อขายอยู่ที่ระดับ 19 บาท ส่งผลมาร์เก็ตแคปหุ้นเติบโตขึ้นเกินระดับ 3 หมื่นล้านบาท เท่ากับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดกว่า 200% เมื่อเทียบกับราคาปิดงวดปี 2558 ที่เข้าซื้อขายเป็นครั้งแรกที่ระดับ13.40 บาท และมีมาร์เก็ตแคปรวมเพียง 8 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้รับแรงสนับสนุนมาจากปัจจัยบวกของ ORI ที่ทยอยประกาศออกมาต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็น ดีลการลงทุนทั้ง 3 โปรเจ็กต์ใหญ่ ผลการดำเนินงานที่เห็นการเติบโตแบบนัยสำคัญ รวมถึงในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัทได้จ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นเพื่อเพิ่มสภาพคล่องมาต่อเนื่อง
ดังนั้น จากปัจจัยบวกข้างต้นทั้งหมดจึงส่งผลให้หุ้น ORI มีสภาพคล่องในการซื้อขายหนาแน่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต โดยตั้งแต่ต้นปี 2560 จนถึงปัจจุบันมีมูลค่าการซื้อขายหุ้นรวมสะสมไปแล้วทั้งสิ้น 2.5 หมื่นล้านบาท เท่ากับเพิ่มขึ้นกว่า 400% เมื่อเทียบกับงวดปี 2559 ที่มีมูลค่าซื้อขายหุ้นตลอดทั้งปีรวมเพียง 4.4 พันล้านบาท เท่านั้น
ด้านทิศทางธุรกิจงวดปี 2561 ล่าสุดได้ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มเป็น 18,000 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 50% จากฐานปี 2560 เนื่องจากมีการเปิดโครงการใหม่ในปีหน้าจำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 10 โครงการ และบ้านจัดสรร 2 โครงการ ระดับราคาเฉลี่ย 3-6 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มรายได้บริษัทประเมินว่าจะเติบโตมาอยู่ที่ระดับ 14,000 ล้านบาท เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากแบ็กล็อกที่มีอยู่ 29,363 ล้านบาท ส่วนงบซื้อที่ดินกำหนดไว้ประมาณ 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแผนการพัฒนาโครงการต่างๆ ของบริษัทที่มีต่อเนื่อง
ขณะที่เป้าหมายในเชิงระยะยาว คาดหวังที่จะเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำติด 1 ใน 3 ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศ โดยเบื้องต้นกำหนดเป้าหมายรายได้รวมในช่วงปี 2565 จะโตอยู่ที่ระดับ 30,000 ล้านบาท และมีความต้องการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
โดยจะดำเนินธุรกิจได้แก่ ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดมิเนียม โครงการแนวราบ ธุรกิจจัดหาสำนักงานให้เช่า และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น เพื่อให้บริษัทมีช่องทำรายได้หลากหลายช่องทางพร้อมกับช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจเพื่อผลักดันให้บริษัทเติบโตได้มั่นคง
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาที่จะนำบริษัทย่อย PROPERTY SOLUTION CO.,LTD (PRIMO) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย, ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง และธุรกิจบริการ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในช่วง 2 ปีข้างหน้า ซึ่งในงวดปี 2560 น่าจะทำกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 100 ล้านบาท และเติบโตยิ่งขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปี 2563