พาราสาวะถี
ยืนยันโดยอ้างรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พำนักอยู่ในถิ่นผู้ดีมาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ถามว่าข้อมูลเช่นนี้ ดอน ปรมัตถ์วินัย ได้รายงานให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทราบหรือไม่ และรู้ขนาดนั้น ทำไมจึงไม่บอกกล่าวยืนยันกับสาธารณชนให้สิ้นสงสัย หรือเพราะขณะนี้สถานการณ์จวนตัวจึงต้องแสดงให้สังคมเห็นว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจหรืออยู่เฉยๆ
อรชุน
ยืนยันโดยอ้างรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พำนักอยู่ในถิ่นผู้ดีมาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ถามว่าข้อมูลเช่นนี้ ดอน ปรมัตถ์วินัย ได้รายงานให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทราบหรือไม่ และรู้ขนาดนั้น ทำไมจึงไม่บอกกล่าวยืนยันกับสาธารณชนให้สิ้นสงสัย หรือเพราะขณะนี้สถานการณ์จวนตัวจึงต้องแสดงให้สังคมเห็นว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจหรืออยู่เฉยๆ
แต่พอฟังคำอธิบายของรัฐมนตรีต่างประเทศเมื่อถูกถามเรื่องการติดตามตัวอดีตนายกฯหญิงมาดำเนินคดีแล้ว รีบโยนให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ถึงบางอ้อทันทีว่า เรื่องที่พ้นตัวไปแล้ว และตัวเองไม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ นอกจากดำเนินการยกเลิกพาสปอร์ตยิ่งลักษณ์ จึงทำให้พูดได้เต็มปากเต็มคำโดยไม่ต้องแบกรับภาระไว้บนบ่านั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อนักข่าวไปถามบิ๊กตู่ถึงเรื่องที่ดอนปูดข้อมูลก่อนการประชุม ครม. คำตอบที่ได้ “ใครยืนยัน ก็เป็นเรื่องที่มีคนเห็น เรื่องนี้เมื่อมีการยืนยันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่มีอยู่ ถ้ามีการยืนยันก็ต้องทำหลักฐาน แจ้งว่ามีความผิดอะไรอย่างไร ขึ้นอยู่ว่าแต่ละประเทศเขาจะพิจารณา” แสดงให้เห็นว่ารู้แล้วว่าอยู่ที่ไหนแต่ทำอะไรไม่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ต้องยอมรับว่าผลจากการประกาศตัวเป็นนักการเมืองของพลเอกประยุทธ์ ทำให้เจ้าตัวกล้าที่จะพูดความจริงมากขึ้น เห็นได้ชัดจากกรณีของยิ่งลักษณ์ที่พูดโดยยืนอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงและเข้าใจสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศเป็นอย่างดี ที่ผ่านมาต้องดูด้วยว่าเคยได้รับการส่งตัวมาสักเท่าไหร่ มันมีอยู่แล้ว ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้รับการส่งตัวมาจากต่างประเทศ เป็นเรื่องของประเทศนั้นๆ
ประเทศซึ่งเขามีหลักในการพิจารณาในส่วนของเขา เราขอไปได้ แต่เขาจะให้มาหรือเปล่าไม่รู้ แต่ละประเทศมีเหตุมีผลของเขาเอง ซึ่งเรื่องนี้ต้องค่อยๆ ทำกันต่อไป ยืนยันว่าไม่ได้ปล่อยปละละเลยใครใดๆ ทั้งสิ้น ที่เห็นและเจ็บปวดที่สุดสำหรับฝ่ายไม่เอาระบอบทักษิณคือคำพูดของบิ๊กตู่ที่ว่า “แล้วที่ผ่านมาอดีตนายกฯคนก่อนกลับมาหรือยัง เขาส่งกลับมาไหม” นี่คือหลักฐานการแสดงจุดยืนของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ
ก่อนที่จะขอร้องว่าอย่าเอาเรื่องนี้เป็นประเด็นในประเทศ ส่วนตัวคิดว่า ถ้าได้กลับมาก็ดี ซึ่งทุกคนคาดหวังเช่นนั้น แต่ทั้งนี้เป็นเรื่องของต่างประเทศเราจะไปควบคุมเขาอย่างไรได้ หลายเรื่องผู้หลบหนีคดีมีเยอะแยะ ซึ่งแล้วแต่ว่าประเทศนั้นๆ จะพิจารณา เขามีหลักการคิดแบบเดียวกับเราหรือแตกต่างจากเราก็ไม่รู้ ซึ่งของเราเองก็มีเหมือนกัน เมื่อเขาขอตัวมาไม่ใช่ว่าเราจะให้ มันต้องดูในหลายมิติ ไม่ใช่เรื่องว่าเราไปยอมเขามันไม่ใช่
เหล่านี้คือความเป็นจริง ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การดูข้อกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเข้าใจ หากแต่ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร เชื่อว่าการได้ไปสัมผัสกับผู้นำของประเทศต่างๆ บนเวทีประชุมระดับนานาชาติ พลเอกประยุทธ์น่าจะเข้าใจท่าทีของแต่ละประเทศได้เป็นอย่างดี มิเช่นนั้น คงไม่ย้ำแล้วย้ำอีกถึงที่มาของตัวเอง
เห็นท่วงทำนองของท่านผู้นำเช่นนี้แล้ว คาดเดาได้ว่าจากนี้ไปฝ่ายที่เกี่ยวข้องคงจะลดการตอบคำถามของสื่อเรื่องยิ่งลักษณ์ลง และข่าวนี้ยิ่งปล่อยให้ยืดเยื้อย่อมไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล ต้องไม่ลืมว่า ประการหนึ่งทั้งๆ ที่อยู่อังกฤษตั้งแต่เดือนกันยายน ทำไมกระทรวงการต่างประเทศไม่กล้าแถลงยืนยัน นั่นเป็นเพราะอังกฤษไม่ได้ตอบหนังสือร้องขอใดๆ มาอย่างเป็นทางการ
เมื่อทุกอย่างมีความไม่เป็นทางการ นั่นหมายความว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น หากดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดลงไปก็เสี่ยงที่จะหน้าแหกเอาได้ง่ายๆ ไม่เพียงแต่การไร้เสียงตอบรับจากอังกฤษเท่านั้น แม้แต่การร้องขอให้ตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพลออกหมายจับยิ่งลักษณ์ ก็ปรากฏว่าได้รับการปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่าหลักฐานที่ทางการไทยส่งให้ยังไม่ครบถ้วน
โดยทางตำรวจสากลได้ขอคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งทางกองการต่างประเทศ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องส่งสำนวนคำพิพากษาดังกล่าวไปให้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอินเตอร์โพลจะออกหมายจับที่เรียกว่าหมายแดงหรือหมายน้ำเงินให้ตามร้องขอ เนื่องจากต้องมีข้อพิจารณาด้วยว่า สิ่งที่ร้องขอไปนั้นกระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาเป็นอย่างไร รวมทั้งมีประเด็นทางการเมืองหรือไม่
อย่างที่เคยบอกไว้ การปรากฏตัวของยิ่งลักษณ์ที่อังกฤษมีเรื่องน่าแปลกที่ฝ่ายกองแช่งไม่ได้ออกแอ็คชั่น อย่างที่ควรจะเป็นหรือเป็นเพราะรู้กันอยู่แล้วว่ามันต้องออกมาในรูปนี้ โดยเหตุนี้นี่ไงที่ทำให้ผู้มีอำนาจจำเป็นต้องให้เรื่องดังกล่าวได้ข้อยุติโดยเร็วหรือไม่มีใครนำไปต่อความยาวสาวความยืด เพราะการอยู่แดนผู้ดีนั่นเป็นแค่ปลายเหตุ ต้นเหตุคือแล้วมีการปล่อยให้หนีไปได้อย่างไร
จนถึงวันนี้ยังไร้คำตอบต่อประเด็นดังกล่าว แม้กระทั่งตำรวจที่ถูกกล่าวหาว่าพายิ่งลักษณ์หนี คดีก็เงียบไปกับกาลเวลา เพราะคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะกองเชียร์ผู้มีอำนาจ น่าจะอยากรู้ว่ายิ่งลักษณ์หลบหนีไปต่างประเทศได้อย่างไร ใช้ช่องทางไหน หรือบินตรงไปที่อังกฤษ การไร้ซึ่งคำตอบในเรื่องเหล่านี้ ย่อมหมายถึง ความสงสัยที่มีต่อผู้มีอำนาจด้วยว่าปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
เหล่านี้คงไม่มีใครอยากตอบ ความยากอีกประการสำหรับฝ่ายผู้มีอำนาจที่ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ ก็คือหากยิ่งลักษณ์ได้สถานะผู้ลี้ภัยจริง การจะประสานขอความร่วมมือให้อังกฤษส่งตัวกลับมาย่อมทำได้ยาก ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะเกิดภาวะน้ำท่วมปากของทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้มันผ่านไปน่าจะเป็นการดีที่สุด
ประเด็นการแก้ประกาศ ป.ป.ช.เรื่องเกณฑ์การรับของขวัญมูลค่าไม่เกิน 3 พันบาท น่าจะจบเมื่อ บิ๊กตู่ออกโรงเองว่าสั่งการไม่ให้ยุ่งเพราะถูกวิจารณ์หนัก แต่ที่ไม่จบคือในเมื่อเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลเป็นองค์กรอิสระที่จะดำเนินการเอง ถามว่าท่านผู้นำมีอำนาจสั่งการได้ด้วยหรือ ไม่ได้จับผิดแต่สิ่งที่ท่านยอมรับเท่ากับเป็นการยืนยันว่าเวลานี้ไม่มีอะไรที่จะมายิ่งใหญ่เท่าองค์รัฏฐาธิปัตย์อีกแล้ว