พาราสาวะถี
เอาเปรียบคู่ต่อสู้หรือเปล่าไม่ทราบ ในฐานะที่เป็นนักการเมือง แถมยังประกาศลั่นไม่ปิดทางตัวเองเป็นนายกฯคนนอก กับการที่ ครม.ซึ่ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งหัวโต๊ะเคาะมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเฟสสอง ด้วยงบประมาณกว่า 35,000 ล้านบาท คนถือบัตรคนจนจากที่เคยรูดปรื๊ด 200 บาทจะขยับไปเป็น 300 บาท ที่เคยได้ 300 บาทจะเพิ่มเป็น 500 บาท มีผลตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป
อรชุน
เอาเปรียบคู่ต่อสู้หรือเปล่าไม่ทราบ ในฐานะที่เป็นนักการเมือง แถมยังประกาศลั่นไม่ปิดทางตัวเองเป็นนายกฯคนนอก กับการที่ ครม.ซึ่ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งหัวโต๊ะเคาะมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเฟสสอง ด้วยงบประมาณกว่า 35,000 ล้านบาท คนถือบัตรคนจนจากที่เคยรูดปรื๊ด 200 บาทจะขยับไปเป็น 300 บาท ที่เคยได้ 300 บาทจะเพิ่มเป็น 500 บาท มีผลตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป
ตามมาด้วยการเตรียมการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ ที่คณะกรรมการค่าจ้างวางแนวทางเบื้องต้นไว้แล้ว ก่อนจะเคาะตัวเลขกันอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 มกราคม นี้ สำทับด้วย การขายฝันของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ผ่านการปาฐกถาในงานสัมมนาประจำปีของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจเรื่อง “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” โดยเตรียมงบประมาณกลางปี 2561 เพื่อนำมาใช้ในนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นพิเศษในปีนี้
ไม่ว่าจะเป็น การเสริมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก นโยบายปฏิรูปภาคเกษตร โดยรายละเอียดทั้งหมดทางกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำ หากเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ป่านนี้ถูกฝ่ายค้านกระหน่ำโจมตีแล้วว่า นี่คือการใช้ความได้เปรียบในฐานะฝ่ายบริหาร หาเสียงปูทางให้ตัวเองได้กลับมาเป็นรัฐบาลต่อหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่ด้วยความที่เป็นรัฐบาลจากการรัฐประหารและไร้ฝ่ายค้านมาถ่วงดุล ทุกอย่างจึงต้องว่ากันตามความต้องการของท่านผู้นำและชาวคณะ ส่วนนักการเมืองไม่ว่าจะฝ่ายใดทำได้แค่นั่งมองตาปริบๆ อย่างไรก็ตาม การโชว์ความช่ำชองหรือเป็นงานทางการเมืองของบิ๊กตู่ก็มีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง อย่างล่าสุดกับการบอกว่า “ประชาชนอย่าดูที่มาของผู้นำให้ดูที่ความตั้งใจในการทำงานก็พอ”
โยนมุกนี้มา ทำเอาคนอย่าง วัชระ เพชรทอง ทนไม่ได้ต้องออกมากระตุกท่านผู้นำทันที นี่เป็นการตั้งใจชี้นำให้ประชาชนทั้งประเทศเชื่อตาม เนื่องจากที่มาของตัวเองไม่สง่างาม ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และที่สำคัญเมื่อดูผลงานของความตั้งใจที่นานเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ล้มเหลวหรือสำเร็จย่อมรู้แก่ใจดี ทั้งนี้ เป็นเรื่องแปลกมากที่หัวหน้า คสช.ออกมาเรียกร้องต่อสังคมแบบนี้ เพราะที่มาของผู้นำในทุกประเทศนั้นสำคัญมากที่สุด
ถ้าที่มาของผู้นำดี ถูกต้องตามระบอบ มีคุณธรรม อนาคตของสังคมก็ดีด้วย แต่ถ้าที่มาของผู้นำไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ปากอย่างใจอย่าง ให้นักการเมืองประเภทเก็บร้อยละ 30 เป็นฐานสนับสนุน อนาคตของประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ได้ปฏิรูปประเทศตามที่พลเอกประยุทธ์โฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ประชาชนให้โอกาสพลเอกประยุทธ์บริหารประเทศมาจะครบ 4 ปีแล้ว เหตุใดประชาชนส่วนใหญ่ถึงสิ้นศรัทธาในตัวท่านผู้นำ
ความเขี้ยวลากดินของคนพรรคเก่าแก่ หากยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างเข้มแข็งก็จะเป็นพรรคการเมืองที่น่าเกรงขาม และหากเป็นฝ่ายค้านที่ยึดมั่นตามระบอบและเดินตามระบบรัฐสภาอย่างแข็งแรง ประชาชนก็หวังเป็นที่พึ่งในการตรวจสอบแทนได้ แต่น่าเสียดายที่เลือกเดินทางผิด รวมไปถึงการโบกมือดักกวักมือเรียกให้เกิดการรัฐประหารด้วย
อย่างที่บอก การออกมาครั้งนี้ วัชระกระแทกบิ๊กตู่ถึงขั้นไล่ไปส่องกระจกแล้วถามตัวเองดู เมื่อแรกยึดอำนาจเป็นวีรบุรุษมาแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง พออยู่จะครบ 4 ปี ทำไมประชาชนจึงมองกลับจากขาวเป็นดำ ขณะเดียวกันความตั้งใจที่จะเข้ามาบริหารประเทศจากเดิมเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน แต่เท่าที่เห็นกลับเป็นไปเพื่อพวกพ้องและเจ้าสัว กลุ่มทุน เรื่องนี้ประชาชนเริ่มตาสว่างแล้ว
ที่วัชระชี้ให้เห็นก็คือ ผู้นำมีอำนาจสูงสุดตามมาตรา 44 อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ จึงใช้อำนาจนั้นเพื่อหมู่คณะ ไม่ได้ใช้เพื่อคนส่วนใหญ่ คนทั้งประเทศต่างมองเห็น โดยเฉพาะกรณีการปราบปรามการทุจริต มีการปกป้องพวกพ้องบริวารที่ทุจริตยิ่งกว่าไข่ในหิน ไม่ได้จริงจังตามคำคุยโวตามนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศไว้ เหมือนที่คนจำนวนไม่น้อยแนะนำ อยากให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลลงไปสัมผัสคนฐานรากที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ จะได้เห็นว่าเศรษฐกิจนั้นดีจริงตามตัวเลขที่พากันปลื้มปริ่มจริงหรือ
ไม่รู้ว่าจะมีผลอะไรตามมาหรือไม่จากฝ่ายที่ดูแลความมั่นคง กับการที่อดีต ส.ส.อีสานของพรรคเพื่อไทย นัดหมายกันเข้าอวยพรปีใหม่ให้กับ พลตำรวจโทวิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรค และ ชัยเกษม นิติสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ไฮไลท์ของงานนี้อยู่ที่ ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ หรือคนหัวเขียง ที่เป็นตัวแทนกล่าวอวยพรโดยมีประโยคเด็ดคือ อดีต ส.ส.อีสานของพรรคกว่า 100 ชีวิตไม่มีใครหนีไปไหน พร้อมหยอดคำหวานเป็นคำปฏิญาณด้วยบทกลอน “ชีวิตนี้ให้ใครไม่ได้แล้ว จะผ่องแผ้วมืดมิดไม่คิดหนี ขอมอบให้เพื่อไทยทั้งชีวี จะสิ้นลมตรงนี้ก็ยอมตาย” ถ้าย้อนไปดูเฉพาะผลงานของคนที่พูดแจ่มชัดอย่างยิ่งคือ การเป็นหัวขบวนผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย จนนำมาซึ่งการล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นเอง
การประกาศเช่นนั้นของ ส.ส.อีสานพรรคนายใหญ่ ก็พอจะเข้าใจได้ เพราะการย้ายพรรคสำหรับคนที่จะลงสมัคร ส.ส.เขตนั้นเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย ตรงนี้แม้แต่ฝ่ายผู้มีอำนาจก็เข้าใจดี ฐานเสียงอันแข็งแกร่งของ ทักษิณ ชินวัตร คือถิ่นที่ราบสูง ทุกวันนี้คนอีสานก็รอให้มีการเลือกตั้งเพื่อที่จะได้ชำระสะสาง ทำให้ใครบางคน บางพวกหูตาสว่างเสียที
ด้วยเหตุนี้จึงมีความพยายามที่จะย่อยสลายความนิยมชมชอบที่มีต่อนายใหญ่ให้ได้ มีการใช้สารพัดวิธี ที่ต้องจับตาดูคือการเพิ่มอำนาจให้กับ กอ.รมน. ที่ถูกมองว่าจะมีบทบาทอย่างมากในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น กระนั้นก็ตาม ตรงนั้นไม่ได้ทำให้อดีต ส.ส.อีสานของพรรคทักษิณหวั่นไหว เพราะเสียงของประชาชนน่ากลัวกว่า ปฏิกิริยาว่าด้วยคนทรยศ เนรคุณ มีให้เห็นแล้วผ่านเครือข่ายในสังกัดของ เนวิน ชิดชอบ ขนาดลงทุนเพิ่มจังหวัดใหม่ ยังไม่สามารถโค่นคนของนายใหญ่ได้