กรณีศึกษา BBL–SCB
การจับมือเป็นพันธมิตรกันของ “ธนาคารไทยพาณิชย์” หรือ SCB กับ “กลุ่มพรูเด็นเชียล” เป็นประเด็นที่น่าสนใจครับ ถามว่าเพราะอะไร?
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
การจับมือเป็นพันธมิตรกันของ “ธนาคารไทยพาณิชย์” หรือ SCB กับ “กลุ่มพรูเด็นเชียล” เป็นประเด็นที่น่าสนใจครับ
ถามว่าเพราะอะไร
คำคอบก็คือ แบงก์ไทยพาณิชย์มีบริษัทประกันชีวิตที่ตนเองถือหุ้นใหญ่อยู่ หรือเกือบ 100% นั่นคือ บมจ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต หรือ SCBLIFE
ที่ผ่านมาบริษัทประกันแห่งนี้สร้างรายได้ค่าธรรมเนียม (ฟี) ให้กับแบงก์ไทยพาณิชย์มาต่อเนื่อง
และ SCBLIFE เอง ก็มีรายได้จากเบี้ยประกันผ่านการขายช่องทางสาขาของธนาคารฯ มาต่อเนื่องเช่นกัน
การทำธุรกิจประเภทนี้เราเห็นกันมาช้านานแล้วในวงการธุรกิจการเงินของไทย
ทว่า นับต่อจากนี้ไป การที่บริษัทแม่และลูกค้าขายกันเองนั้น ไม่ใช่แนวโน้มหรือการดำเนินธุรกิจที่ดีอีกต่อไป
เพราะถึงที่สุดแล้ว ต่างฝ่ายต่างต้องเข้มแข็ง และยืนให้ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง โดยมีลูกค้าเป็น “จุดศูนย์กลาง” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้
ปรากฏการณ์ของดีลล่าสุดดังกล่าวไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL ก็ต้องจับมือกับ “เอไอเอ”
ทั้งที่แบงก์กรุงเทพ มีบริษัทที่เป็นลูกรักอยู่คือ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต หรือ BLA
ความร่วมมือกับ BBL และ เอไอเอ ถือได้ว่าจะ “วิน วิน” ทั้ง 2 ฝ่าย
บุคคลในวงการตลาดเงิน ตลาดทุน ต่างจับตามอง เพราะเห็นไม่ค่อยบ่อยนักที่ยักษ์ของธุรกิจ 2 ประเภท จะมาจับมือกันทำธุรกิจแบบนี้
แล้วถามว่า ตัวของ BLA จะทำอย่างไร
ค่ายประกันชีวิตแห่งนี้ ก็ไม่ถึงกับต้องเสียโอกาสซะทีเดียว
เพราะสินค้าที่นำเข้าไปขายในสาขาของ BBL จะมีความแตกต่างบ้างกับของเอไอเอ
แต่สำหรับตัวของ BBL แล้ว การมีพันธมิตรด้านการขายประกันเพิ่มเท่ากับเป็นการเพิ่มโอกาสในการเพิ่มรายได้จากค่าฟีให้กับตนเอง
เช่นเดียวกับแบงก์ไทยพาณิชย์ก็มองในมุมเดียวกับ BBL
ของแบงก์ไทยพาณิชย์ จะเป็นการขายสินค้ากรมธรรม์ประเภท “ยูนิตลิงค์” หรือกรมธรรม์ควบหน่วยลงทุนให้กับพรูเด็นเชียล
สินค้าประเภทนี้ ตัวของ SCBLIFE อาจไม่ถนัดนัก
แต่สำหรับพรูเด็นเชียล ที่เป็นค่ายประกันระดับโลก จะมีประสบการณ์ในสินค้าประเภทนี้ และน่าจะออกแบบให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าของแบงก์ไทยพาณิชย์ได้ดีกว่า
หากจำกันได้ กลุ่มพรูเด็นเชียลเคยเป็นหนึ่งในค่ายประกันที่สนใจเข้าซื้อหุ้นใน SCBLIFE
แต่ดีลดังกล่าวได้ล่มลงไปอาจด้วยเพราะตกลงเรื่องราคาซื้อขายกันไม่ได้
และในที่สุดก็หันมาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันแทน
วันก่อนหน้านี้ ผมคุยกับผู้จัดการกองทุนคนหนึ่งที่ไม่ได้มีธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้น
เขาบอกว่า สินค้ากองทุนของบริษัทเขา กำลังจะได้เข้าไปขายในแบงก์พาณิชย์แห่งหนึ่ง โดยที่ธนาคารแห่งดังกล่าว ก็มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่เข้าไปถือหุ้นอยู่
สินค้าที่เข้าไปขายจะมีความแตกต่างกับบริษัทลูกของธนาคารแห่งนั้น
ขณะที่ผู้บริหารของแบงก์กรุงเทพ ก็เคยให้ข่าวในทำนองเดียวกันครับ
โดยบอกว่า พร้อมจะพิจารณาขายสินค้ากองทุนรวมให้กับบลจ.แห่งอื่นๆ ด้วย เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า โดย BBL มีบริษัทกองทุนในเครือคือ บลจ.บัวหลวง
ความร่วมมือการทำธุรกิจในรูปแบบนี้เราคงเห็นเพิ่มขึ้น
ทั้งในธุรกิจธนาคาร ประกัน กองทุนรวม และบริษัทหลักทรัพย์
แบงก์ทีเอ็มบี หรือ TMB ที่จับมือกับ “เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต”
ก็ไม่แน่นะว่า ต่อไปทั้ง 2 ฝ่ายก็อาจมีพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน เพื่อสร้างโอกาส เสริมจุดแข็ง และลบจุดอ่อนของตนเองออกไป
หรือแม้แต่ค่ายกสิกรไทย กรุงไทย หรือธนาคารอื่นๆ ก็เชื่อว่าเราอาจเห็นความร่วมมือแบบนี้เกิดขึ้นได้
แบงก์กรุงศรี (BAY) ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้ขายสินค้าให้กับ AZAY บริษัทประกันชีวิตที่ BAY ถือหุ้นอยู่
แบงก์กรุงศรี ยังขายให้กับ บมจ.ไทยประกันชีวิตด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ว่า BAY จะขายให้เฉพาะกับสาขาในพื้นที่ต่างจังหวัดเท่านั้น ส่วนในกรุงเทพฯ ยังต้องขายให้กับ AZAY
ทั้งแบงก์กรุงศรี และ ไทยประกันชีวิต ต่างมีผู้ถือหุ้นเป็นกลุ่มการเงินจากประเทศญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน
ในด้านของธุรกิจหลักทรัพย์ เชื่อเช่นกันว่า น่าจะเห็นความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น หากเป็นทางเลือกที่ดีกว่าจะนำมาควบรวมกิจการกัน
โดยเฉพาะโบรกเกอร์ขนาดกลางและเล็ก
ใครที่ทำธุรกิจแบบตัวคนเดียว
และอยู่กับสินค้าตัวเดิมๆ ไม่เพิ่มผลิตภัณฑ์
ก็ยิ่งจะมีแต่ถอยหลัง