เศรษฐกิจไทยนิยม

“ประชาธิปไตยไทยนิยม” ไม่ใช่เรื่องใหม่ ก็แค่วาทกรรมต่อเนื่องของ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ที่ไม่เอากติกาสากล สังคมไทยไม่ต้องการกติกาใดๆ เพราะใช้ความเชื่อตัวบุคคล เชื่ออภิสิทธิ์ชน คนดี ผู้หลักผู้ใหญ่ ที่ตรวจสอบไม่ได้ แล้วบอกว่านี่คือ “ความเป็นไทย”


ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง

“ประชาธิปไตยไทยนิยม” ไม่ใช่เรื่องใหม่ ก็แค่วาทกรรมต่อเนื่องของ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ที่ไม่เอากติกาสากล สังคมไทยไม่ต้องการกติกาใดๆ เพราะใช้ความเชื่อตัวบุคคล เชื่ออภิสิทธิ์ชน คนดี ผู้หลักผู้ใหญ่ ที่ตรวจสอบไม่ได้ แล้วบอกว่านี่คือ “ความเป็นไทย”

ว่าที่จริง ข้ออ้างเหลวไหลนี้ไม่ค่อยมีคนเชื่อสักเท่าไหร่ เพียงแต่คนไทยอยู่ในภาวะอับจน ไม่มีตัวเลือก ไม่เห็นอนาคต ก็ต้องจำทน แล้วรัฐบาลก็ประโคมว่าระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยจะทำให้ประเทศมั่นคง เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ซึ่งจะลงทุนสาธารณูปโภคขนานใหญ่ เปิด EEC นำประเทศก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ไปสู่ไทยแลนด์ 4.0

ถ้าไม่มีอำนาจพิเศษ ทำอย่างนี้ไม่ได้นะถ้าไม่ใช่ คสช.จะฟื้นโปรเจ็กต์ 2.2 ล้านล้านเป็น 3-4 ล้านล้านได้ไง ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญตีตกไปแล้ว แถมยังใช้ ม.44 สร้างรถไฟจีน ใช้ ม.44 กำหนดผังเมือง EEC รวดเร็วทันใจ ใครก็ค้านไม่ได้

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จึงขายฝันอภิมหาโปรเจ็กต์ ตั้งแต่ 4.0 มาถึงหายจน เพื่อผูกมัดคนไทย ถ้าอยากให้เศรษฐกิจดี ถ้าอยากหายจน ก็ต้องยอมสละความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ยอมอยู่ใต้นายกฯ คนนอก ส.ว.แต่งตั้ง รัฐราชการทหารศาลองค์กรอิสระเป็นใหญ่ ไปอีก 5-20 ปี

ถ้ายอมอยู่ในโอวาทเสียดีๆ อนาคตคนไทยจะร่ำรวยเหมือนคนจีน ที่มาท่องเที่ยวกินกุ้งเมืองไทย ชู “ประชาธิปไตยอัตลักษณ์จีน” เป็นแบบอย่าง ว่าทำให้ประเทศเจริญกว่าเป็นประชาธิปไตย

นั่นแหละคือโจทย์ง่ายๆ ของประชาธิปไตยไทยนิยม เศรษฐกิจไทยนิยม ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นประชาธิปไตย ยอมทนอยู่ใต้ระบอบที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ

ว่าไปก็ตลกดี ที่สมคิดเคยเป็นขุนคลังของทักษิณ ในยุคพรรคไทยรักไทยทำให้ประชาชนเห็นว่า “ประชาธิปไตยกินได้” แต่หลายปีมานี้ สมคิดพยายามขาย “รัฐประหารกินได้” ถ้าทำสำเร็จก็ต้องยกย่องสมคิดและทีมงาน ว่ามีคุณูปการอันใหญ่หลวง ต่อการสถาปนาระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

ปัญหาคือมันไม่ง่ายเช่นนั้น ไม่เฉพาะความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังเกิดวิกฤติศรัทธา ในหมู่ “กองหนุน” รัฐบาลเอง แต่ว่าเฉพาะการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ ที่แปลง “ทุนนิยมโดยรัฐ” แบบจีน มาเป็น “ทุนนิยมประชารัฐ” ก็มีเงื่อนไขแตกต่างหลายข้อ ข้อสำคัญคือการผลักดันนโยบายต่างๆ ที่สวยหรูผ่านรัฐราชการไทย

ถามหน่อยสิว่า รัฐราชการไทยมีเอกภาพมีประสิทธิภาพเพียงไร เมื่อเทียบกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนรัฐราชการไทยใหญ่โตเทอะทะ เต็มไปด้วยความคิดเจ้าขุนมูลนาย หัวโต นายเยอะ ทำอะไรต้องรอนายสั่ง รวบอำนาจสู่ส่วนกลาง ขยันสร้างระเบียบจุกจิก ที่เป็นอุปสรรคคนทำงาน แต่ทำอะไรคนโกงไม่ได้ ขัดแข้งขัดขากันเอง ทั้งในหน่วยงานและข้ามหน่วยงาน ขณะเดียวกันก็ค่าใช้จ่ายสูง ทั้งเบี้ยเลี้ยงเบี้ยประชุม ค่าจัดงานอีเวนต์พิธีกรรมอบรมสัมมนาดูงาน แข่งกันขยายตำแหน่งซี 9 ซี 10 มีเงินประจำตำแหน่งรถประจำตำแหน่ง

เกือบ 4 ปีในรัฐบาลนี้ ไม่ได้ปฏิรูประบบราชการเลย มีแต่เพิ่มอำนาจสู่ส่วนกลาง กับเพิ่มกฎระเบียบ นี่หรือกลไกที่จะผลักดันเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน ทุนนิยมประชารัฐ ที่เอาภาคธุรกิจเข้าร่วม จะยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำ อย่างที่บ่นกันว่าคนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลง ซึ่งจะเป็นแรงบวกทางการเมืองในระยะต่อไป

ในระยะเฉพาะหน้า นโยบายสมคิดดูเหมือนประโคมได้สำเร็จแต่ในระยะต่อไป อย่าพลิกผันก็แล้วกัน

Back to top button