พาราสาวะถี
คิดว่าน่าจะเป็นทางลงที่สุดยอดแล้ว สำหรับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่นับตั้งแต่เกิดประเด็นแหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน เพื่อนตายแล้ว ก็ปิดปากเงียบไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ล่าสุดหลังการประชุมครม.เมื่อวันอังคาร บิ๊กป้อมก็ได้ปักหลักให้สัมภาษณ์อย่างอารมณ์ดี นาฬิกาที่ปรากฏเป็นข่าวมีเยอะเพราะยืมเพื่อนใส่และคืนเพื่อนไปหมดแล้ว
อรชุน
คิดว่าน่าจะเป็นทางลงที่สุดยอดแล้ว สำหรับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่นับตั้งแต่เกิดประเด็นแหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน เพื่อนตายแล้ว ก็ปิดปากเงียบไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ล่าสุดหลังการประชุมครม.เมื่อวันอังคาร บิ๊กป้อมก็ได้ปักหลักให้สัมภาษณ์อย่างอารมณ์ดี นาฬิกาที่ปรากฏเป็นข่าวมีเยอะเพราะยืมเพื่อนใส่และคืนเพื่อนไปหมดแล้ว
ยอมเสียฟอร์มเสียหน้าไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นเสี่ยเหมือนที่สื่อบางสำนักเรียกขาน เพราะสะสมนาฬิกาหรู การโยนภาระทั้งหมดไปให้เป็นเรื่องของเพื่อนที่ยืมมาใส่ และเป็นหน้าที่ของป.ป.ช.ที่จะต้องไขข้อกระจ่าง จึงเป็นวิธีการถอดสลักปัญหาของพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ที่สามารถจะทำได้บนสถานการณ์ยามนี้ พร้อมวลีที่คิดว่าเป็นอาวุธเด็ดคือ พร้อมลาออกถ้าป.ป.ช.ชี้มูลว่าผิด
ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงหากอยากให้น้องเล็กอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สบายใจที่สุดพี่ใหญ่ต้องใช้วิธีการลาออกหรือจะซอฟท์กว่านั้นคือ ให้น้องสั่งพักงานเพื่อรอผลตรวจสอบจากป.ป.ช.ก่อน แต่เมื่อทั้งสองวิธีการไม่ได้ถูกนำมาใช้ ภาระหนักจึงตกไปอยู่ที่ป.ป.ช. เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ตัวเองตั้งต้นสอบโดยไม่มีผู้ร้องเรียน เนื่องจากเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ
คำถามตัวโตที่ป.ป.ช.จะต้องตอบให้ได้คือ เมื่อสอบเสร็จแล้วจะชี้แจงสังคมว่าอย่างไร ประเภทที่ว่านาฬิกาเป็นของเพื่อนและสอบเพื่อนของพลเอกประวิตรแล้วไม่มีความผิดปกติ เท่านี้ก็จบ นั่นจะไม่ใช่ความต้องการของสังคมอย่างแน่นอน มันต้องมีการอธิบายที่ละเอียดยิบกว่านั้น ทั้งตัวบุคคลผู้ครอบครอง รวมไปถึงรายละเอียดของการเสียภาษีอย่างถูกต้อง เพราะเป็นนาฬิกาที่มีมูลค่าสูง
หากป.ป.ช.ไม่แจกแจงให้ชัดเจน ที่จะจบจะกลายเป็นป.ป.ช.เสียเอง ต่อประเด็นนาฬิกาเพื่อนนั้น วันพุธที่ผ่านมา สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักกิจกรรมทางการเมืองได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า ตอนเรื่องอุทยานราชภักดิ์แดงขึ้นมา เรื่องหักหัวคิวก็แก้ตัวไปว่าบริจาคแล้ว พอมารอบนี้ เรื่องนาฬิกาหรูแดงออกมา 24 เรือน ก็ออกมาบอกว่ายืมเพื่อน คืนเพื่อนไปหมดแล้ว
คำแก้ตัวแต่ละคำสะท้อนว่าพวกทรราชเผด็จการคสช.เห็นประชาชนเป็นเด็กอมมือ จะพูดไปอย่างไรก็ได้ คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนอย่างเราๆ แล้ว เราจะเป็นเสมือนเด็กอมมือให้พวกคสช.ย่ำยีอำนาจและศักดิ์ศรีประชาชนต่อไป ตามพวกนี้ต้องการ เราจะต้องเตรียมเข้าสู่ปีที่ 4 และ 5 และต่อๆ ไป และได้ยินคำแก้ตัวน้ำขุ่นของคสช.ต่อไป หรือจะเป็นประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ผู้ไม่สยบยอมต่อรัฐบาลเผด็จการที่ฉ้อฉล
ขณะที่ ศรีสุวรรณ จรรยา ขาเก่าเจ้าประจำ ออกแถลงการณ์ในนามสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เรื่องคนไทยไม่ได้กินแกลบกินหญ้าที่จะเชื่อว่านาฬิกาวนกันใส่ โดยหนึ่งในเนื้อหาที่ตรงกันกับความเห็นของจ่านิวโดยไม่ได้นัดหมายคือ เป็นการแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ หาเหตุผลรองรับแบบเบาหวิว เพื่อให้รอดพ้นจากข้อครหาและคมดาบของป.ป.ช. ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทยและป.ป.ช.ก็คงไม่เชื่อตาม
ไม่เพียงแค่แสดงความเห็นเท่านั้น หากแต่แถลงการณ์ดังกล่าวยังแสดงถึงเหตุผลที่นาฬิกาเหล่านั้นจะยืมกันใส่ได้ยากด้วยอีกต่างหาก โดยอธิบายเป็นฉากๆ นาฬิการาคาเป็นล้าน เป็นรุ่นลิมิเต็ด จะสร้างเฉพาะมีผู้สั่งทำเท่านั้นและแต่ละเรือนจะมีสายโลหะรัดพอดีกับข้อมือของผู้สั่งทำเท่านั้น หากจะเพิ่มข้อสายรัดต้องเสียเงินแต่ละครั้งนับหมื่นนับแสนบาท ดังนั้น การจะวนกันใส่ในหมู่เพื่อนฝูงนั้นจึงไร้เหตุผล
ส่วนนาฬิกาที่มีสายรัดเป็นหนังโดยปกติทั่วไปนาฬิกาที่มีมูลค่าขนาดนี้ ไม่นิยมวนกันใส่เพราะจะถูกเหงื่อของผู้สวมใส่ซึมซับกับตัวหนัง ทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะไม่พึงประสงค์ของผู้อื่นในสายนาฬิกา ซึ่งจะทำให้คุณค่าหรือมูลค่าของนาฬิกาเสื่อมลงไปอย่างมาก และหากบิ๊กป้อมยังคงยืนยันว่าเป็นนาฬิกาของเพื่อนจริง ก็เป็นหน้าที่ของป.ป.ช.ที่จะต้องเรียกเพื่อนเจ้าของนาฬิกาทุกเรือนมาตรวจสอบวงรอบข้อมือของแต่ละคนว่าสามารถสวมใส่พอดีกับตนเองหรือไม่ด้วย
จากเหตุนี้จึงมีข้อแนะนำไปยังบิ๊กป้อมว่าให้เปลี่ยนทีมที่ปรึกษาที่ต้องมาทำงานคิดค้นหาถ้อยคำหรือเหตุผลเพื่อใช้ในการแก้ต่างเรื่องนาฬิกาและแหวนนี้เสียใหม่ โดยระดมผู้เชี่ยวชาญในการเลี่ยงภาษีที่ถูกกฎหมายทั่วประเทศ และนักการเมืองที่เคยถูกป.ป.ช.ลงดาบชี้มูลความผิดในด้านปกปิดบัญชีทรัพย์สินและร่ำรวยผิดปกติทั้งหมดมาเป็นทีมที่ปรึกษาแทน ซึ่งเชื่อว่าข้อแนะนำคนเหล่านั้น น่าจะพอทำให้รอดพ้นจากวิกฤตนาฬิกาหรูในครั้งนี้ไปได้ ถ้าประชาชนคนไทยจะยังพอมีผู้ที่กินหญ้าและกินแกลบหลงเหลืออยู่บ้าง
ถือเป็นวิกฤติอย่างแท้จริงสำหรับพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ แต่อย่างที่บอกไม่ว่าจะถูกมรสุมเล่นงานอย่างไร น้องเล็กอย่างบิ๊กตู่ก็ไม่มีวันทอดทิ้งพี่ป้อมแน่ จึงมีคำสัมภาษณ์หลังประชุมครม.ว่าอย่าใช้วาทกรรมทางการเมืองมาสร้างเรื่องให้เป็นประเด็นจากกรณีนาฬิกาหรู ปรากฏว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนที่แนะให้พลเอกประวิตรแสดงสปิริตก็ออกมาตอบโต้ทันควัน
ยืนยันว่าใครก็ตามที่พูดเรื่องนาฬิกาหรูไม่ใช่การใช้วาทกรรมโจมตีแต่นี่เป็นเรื่องพฤติกรรม พอตัวละครเป็นอภิสิทธิ์ยิ่งต้องเงี่ยหูฟัง ต้องไม่ลืมว่าพลเอกประวิตรนั้นก็เคยนั่งเป็นเสนาบดีในยุคของรัฐบาลเทพประทานมาแล้ว ประสาคนกตัญญูรู้คุณ คงไม่ทะเล่อทะล่าหรือชี้แนะด้วยอคติอย่างแน่นอน อย่างที่เจ้าตัวย้ำ เข้าใจถึงความสำคัญของพลเอกประวิตรที่มีต่อรัฐบาล รวมถึงความผูกพันที่มีต่อกัน แต่สิ่งที่ขอคือทำอย่างไรให้เกิดความโปร่งใสกับสังคม ถ้ามีข้อเท็จจริงที่มั่นใจว่าถูกต้องก็ชี้แจงให้สังคมเข้าใจและมั่นใจด้วย
สิ่งสำคัญหากพลเอกประยุทธ์ยังอยากใช้คำว่าธรรมาภิบาลอยู่ ก็ควรสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อยด้วยการสร้างมาตรฐานทางการเมือง อย่างน้อยที่สุดก็คือมาตรฐานการชี้แจงให้เกิดความโปร่งใสต่อสังคม ไม่ใช่โยนให้เป็นเรื่องของป.ป.ช. เพราะป.ป.ช.เองตอนนี้สังคมก็เกิดความไม่เชื่อมั่น ทั้งในแง่ตัวบุคคลที่มีภาพความสัมพันธ์อันดีกับผู้ที่ถูกตรวจสอบ
ขณะเดียวกันร่างกฎหมายป.ป.ช.ที่มีเนื้อหายกเว้นลักษณะต้องห้ามและต่ออายุป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ทางสนช.ก็กำลังจะมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ดังนั้น ปมนาฬิกาหรูทุกกระบวนท่าที่ออกมาเรียกร้องจึงไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นการเรียกร้องต่อการวางรากฐานการเมืองในอนาคต ถ้ารัฐบาลอยากจะปฏิรูปก็ต้องจริงจังกับการสร้างมาตรฐานทางการเมืองที่ถูกต้อง แข็งแรง โดยเฉพาะรากฐานอันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าปราบโกงและโปร่งใส