พาราสาวะถี

การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ของสนช.เมื่อวาน ประเด็นสำคัญอยู่ที่การขยายเวลาการบังคับใช้ร่างกฎหมาย 90 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา แน่นอนว่าทราบกันก่อนหน้านั้น มีกรรมาธิการเสียงข้างน้อยเสนอเพิ่มเป็น 120 วัน และในการอภิปรายก็มีข้อเสนอใหม่อีกคือ 180 วัน ที่ชวนคนหัวร่อมากที่สุดคือข้อเสนอให้ยืดเวลาออกไปอีก 60 เดือนหรือ 5 ปี


อรชุน

การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ของสนช.เมื่อวาน ประเด็นสำคัญอยู่ที่การขยายเวลาการบังคับใช้ร่างกฎหมาย 90 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา แน่นอนว่าทราบกันก่อนหน้านั้น มีกรรมาธิการเสียงข้างน้อยเสนอเพิ่มเป็น 120 วัน และในการอภิปรายก็มีข้อเสนอใหม่อีกคือ 180 วัน ที่ชวนคนหัวร่อมากที่สุดคือข้อเสนอให้ยืดเวลาออกไปอีก 60 เดือนหรือ 5 ปี

คนประเภทหลังนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนพวกสอพลอผู้มีอำนาจ หวังจะได้ไปต่อในนามส.ว.ลากตั้ง อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องวันที่มีผู้เสนอเพิ่มนั้น หากมองกันอย่างละเอียดเป็นเพียงแค่ตัวหลอก เพื่อทำให้เห็นว่าเวลาที่กรรมาธิการเสียงข้างมากเคาะที่ 90 วันนั้น ถือว่าน้อยที่สุดแล้ว ดังนั้น จึงไม่ควรที่จะมองว่าเป็นปัญหา ส่วนพวกที่กล่าวหาพรรคการเมืองเคลื่อนไหวไม่ยอมรับ เพราะไม่อยากทำไพรมารีโหวตนั้น ก็แค่เกมดิสเครดิตธรรมดา

สรุปง่ายๆ อย่างไรเสียก็จะต้องยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ออกไปให้ได้ ส่วนเรื่องกระทบโรดแมปเลื่อนการเลือกตั้งออกไปนั้น เป็นหน้าที่ของท่านผู้นำที่จะต้องไปชี้แจงกับนานาชาติที่เขาสงสัยเอาเอง โดยเฉพาะขาใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปหรืออียู ที่แน่ๆ คนซึ่งเพิ่งพูดไปแหมบๆ ว่าน่าจะเลื่อนไปแค่ 1 เดือนอย่าง วิษณุ เครืองาม ล่าสุดออกลูกติ๊ดชึ่งอีกกระทอก

บอกว่าโรดแมปสุดท้ายคือ หัวหน้าคสช.จะเรียกประชุมหัวหน้าพรรคการเมือง กกต.และกรธ. เพื่อกำหนดโรดแมปสุดท้ายของประเทศภายในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะเป็นโรดแมปที่ชัดเจนที่สุด พร้อมทั้งกำหนดวันเลือกตั้งหลังกระบวนการในส่วนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งแล้วเสร็จ อย่างหลังนี่แหละที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญ โดยวิษณุบอกว่าหากล่าช้าสุดน่าจะเลือกตั้งไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือความคาดหมาย ต้องไม่ลืมว่านอกเหนือจากความไม่พร้อมของคสช.และรัฐบาลแล้ว ท่านผู้นำและคนใกล้ชิดเองก็เชื่อเรื่องของโหราศาสตร์ ดวงดาว ที่ฟันธงกันมาแล้วว่า ถ้าจัดการเลือกตั้งในปีนี้ เป็นฤกษ์ที่ไม่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่คิดจะสืบทอดอำนาจ จึงต้องขยับกันไปอีกหน่อย โดยปล่อยให้เรื่องสัญญาประชาคมหรือสัญญานานาชาติ เป็นเรื่องไม่สำคัญ

อาจจะเป็นความชะล่าใจ ต้องไม่ลืมว่าถ้าเลื่อนโรดแมปนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก นับตั้งแต่คสช.ยึดอำนาจท่านผู้นำเลื่อนมาแล้วหลายหน และก็ไม่เห็นว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมใดๆ คงจะถูกแค่ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนสำคัญอยู่ที่ว่าการเลื่อนหนก่อน เป็นจังหวะที่คณะรัฐประหารเพิ่งเข้ามาจัดการแรงกระเพื่อมต่างๆ ยังไม่สะเด็ดน้ำ แต่มาปีนี้ล่วงเลยจะเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะยกมาอ้างได้อีก

ในทางตรงข้าม ผลแห่งการบริหารทั้งอำนาจเด็ดขาดในนามคสช.และอำนาจบริหารในนามรัฐบาลประยุทธ์ที่มาถึงชุดที่ 5 กันแล้ว นอกเหนือจากความสงบด้วยกฎหมายพิเศษและมาตราวิเศษแล้ว เรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะปากท้องของพี่น้องประชาชนแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดีแต่เฉพาะตัวเลขที่ทุกหน่วยงานพากันโพนทะนาเท่านั้น แต่เศรษฐกิจที่ว่าด้วยความเป็นอยู่ของประชาชนยังแย่

อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากการอภิปรายร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มีอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การตัดสิทธิของประชาชนที่ไม่ได้ไปลงคะแนนเลือกตั้ง ในมาตรา 35 ที่คณะกรรมาธิการเพิ่มข้อจำกัดสิทธิ ในวงเล็บ 4 และวงเล็บ 5 ห้ามไม่ให้เข้ารับราชการในรัฐสภาทั้งในส่วนลูกจ้าง พนักงานราชการและข้าราชการ รวมถึงห้ามเข้ารับตำแหน่งข้าราชการการเมือง และข้าราชการหรือตำแหน่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับองค์กรส่วนท้องถิ่นเป็นเวลา 2 ปี

ผู้ที่อภิปรายคัดค้านอย่าง “ครูหยุย” วัลลภ ตังคณานุรักษ์ แสดงความเห็นได้อย่างน่าปรบมือให้ การเพิ่มข้อจำกัดสิทธิของคณะกรรมาธิการ เป็นการขัดรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน เพราะเป็นการจำกัดหลักสิทธิเสรีภาพบุคคล พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า คณะกรรมาธิการตั้งใจแก้บทลงโทษ เพราะหวังจะให้เป็นเกมการเมือง ยื้ออายุเวลาคสช.ให้อยู่ต่อ ผ่านการให้มีผู้ยื่นตีความร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

ความจริงสิ่งที่ครูหยุยไม่ได้พูดอีก 1 เรื่องคือไม่ลำพังเฉพาะคสช.จะได้อยู่ต่อเท่านั้น สนช.เองก็ยังจะได้ทำหน้าที่ต่อไป เพราะการยืดการเลือกตั้งออกยิ่งนานเท่าไหร่ สภาจากการลากตั้งก็จะอยู่ได้นานมากขึ้นเท่านั้น เรื่องสิทธิ เสรีภาพของประชาชนคงไม่สำคัญเท่า และความเป็นจริงต้องขอบคุณที่ยังมีสมาชิกสนช.เห็นความสำคัญ แต่จะดีและจริงใจกว่านี้ หากมีการอภิปรายในหลายๆ เรื่องที่เห็นได้ชัดว่าผู้มีอำนาจจงใจดำเนินการกับประชาชนที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน

ขณะที่ สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ชายเดี่ยวมองเรื่องการตัดสิทธิ์ดังกล่าวว่า ไม่เห็นเป็นสาระ เพราะข้าราชการรัฐสภามีสักกี่คนรับปีละสักกี่ราย ไม่มีผลอะไร ทางที่ดีสนช.ที่ขาดประชุมเกินครึ่ง ควรตัดสิทธิ์รับเงินเดือนเสียมากกว่า เช่นเดียวกับการขยายเวลาบังคับใช้กฎหมาย ทำไปโดยมองไม่เห็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้ตัวเองถูกด่าเป็นชุดเสียมากกว่า แค่นี้ก็รู้แล้วว่าคุ้มหรือไม่

ต้องเข้าใจว่า คนที่เคยมีอำนาจและกำลังจะหลุดจากอำนาจด้วยการถูกเซตซีโร่น่าจะมีประสบการณ์การถูกหลอก (ใช้) ได้ดี แต่สำหรับคนที่ยังไม่โดนกับตัวและคิดว่าต้องเร่งสร้างผลงานเพื่อให้ได้ไปต่อ ย่อมมองไม่เห็นหายนะใดๆ ที่รออยู่ข้างหน้า นาทีนี้คิดแค่เพียงว่าทำอย่างไรเพื่อให้ชนะใจผู้ที่จะชี้นิ้วสั่งซ้ายหันขวาหันเท่านั้นก็พอ

ฟัง สุเทพ เทือกสุบรรณ พร่ำพรรณนาหลังการถูกนำตัวสั่งฟ้องคดีข้อหากบฏและก่อการร้ายวันก่อน บอกตรวจสอบรัฐบาลนี้ไม่ได้เพราะไม่ได้เป็นฝ่ายค้าน คนที่ได้ยินก็รู้กันอยู่แล้วว่ามันจะออกมาในรูปไหน แต่ที่เป็นห่วงเป็นใยกันมากที่สุดคือ บรรดาแนวร่วมที่หลงกลลุงกำนันคราวเป่านกหวีด ครั้งนั้นคนนำมีความสำคัญ แต่มาถึงวันนี้ถามว่ายังเป็นเช่นนั้นอีกหรือไม่ สภาพของเทพเทือกวันนี้ไม่ต่างอะไรจากขับรถบรรทุกเข้าซอยตันและแคบ เดินหน้าไม่ได้ถอยหลังก็แย่ แค่นี้ก็น่าจะพอเดาจุดจบกันได้

Back to top button